Translate

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

หมักกากมันสำปะหลัง


สูตรกากมันสำปะหลัง
กากแป้ง
เปลือกล้าง
              กากมันสำปะหลัง ที่เหลือใช้ในขบวนการผลิตแป้งมัน จะมีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ กากดิน กากล้าง และกากแป้ง กากดิน ได้จากการทำความสะอาดหัวมันสำปะหลังครั้งแรก ก่อนนำเข้าสู่ขบวนการผลิต จะมีเศษดิน เศษเปลือกนอก ลักษณะเป็นเหมือนดิน น้ำหนักมาก กากล้าง ได้จากการล้างทำความสะอาดครั้งที่ 2 ลักษณะจะมีน้ำปนออกมา สารอาหารที่เห็ดต้องการมีมาก ส่วน กากแป้ง ได้จากขบวนการผลิตสุดท้าย จะมีลักษณะเปียกชุ่มมาก สีออกขาว เนื้อละเอียด มีสารอาหารยังคงเหลืออยู่มากที่สุด ( บางโรงงานทำการตากแห้ง บรรจุถุงขาย ราคา กก.ละ 2-3 บาท )
          ดังนั้น กากล้างและกากแป้ง เมื่อนำมาเพาะเห็ด ให้ผลผลิตสูงกว่า กากดิน และเป็นสูตรที่ชาวเห็ดเกือบทุกคนบอกว่าเพาะยาก เพราะเหตุว่า ลักษณะของกากมันมี 3 ชนิด และที่สำคัญควรนำมาทำการเพาะทันทีหลังจาก ออกจากโรงงาน เพราะถ้ากองกากมันไว้ที่โรงงาน เท่ากับขบวนการย่อยสลายสารอาหารต่างๆก็เกิดขึ้นก่อนหน้าแล้ว

สูตรการเพาะด้วยกากล้าง (ใช้เพาะได้ 100 ตารางเมตร)
1.
กากมันล้าง
4000
กก.
2.
ปูนขาว
8
กก.
3.
ยิบซัม
8
กก.
4.
ภูไมท์ (ไม่มีไม่ต้องใช้)
8
กก.
5.
มูลวัว/ควาย
80
กก.
6.
รำละเอียด
20
กรัม
7.
Em หัวเชื้อ
2
ลิตร
8.
กากน้ำตาล
2
ลิตร
วิธีการหมักกากล้าง
ขยาย Em ล่วงหน้า 7-14 วัน โดยใช้น้ำสะอาด 40 ลิตร ผสมด้วยกากน้ำตาล 2 ลิตรและ Em หัวเชื้อ 2 ลิตร ใส่ถังหมักทิ้งไว้ตามกำหนด เรียกว่า Emขยาย ( ได้ Em ขยาย 40 ลิตร ) 
1. วันที่ 1 นำกากล้าง ทั้งหมดมากระจายให้บางๆ แล้วนำ ปูนขาว ยิบซัม ภูไมท์ มูลวัว/ควาย และรำละเอียด มาคลุกเคล้าให้เข้ากัน โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน เรียกว่าเป็นอาหารเสริม
2. นำอาหารเสริมที่ผสมกันดีแล้ว 1 ส่วนมาหว่านบนกองมัน แล้วนำEmขยาย 20 ลิตรมาผสมน้ำ 100 ลิตร
3. ทำการกลับกองด้วยจอบ พร้อมกับโชยด้วย Emขยาย จนหมดกอง แล้วทำการตั้งกองเป็นรูปหลังเต่า สูงประมาณ 50 ซม. คลุมด้วยพลาสติก หมักทิ้งไว้ 3 คืน

4. วันที่ 4 เช้า ( หมักครบ 3 คืน ) เปิดพลาสติกออก ทำการกลับกองมันที่หมักไว้ โดยหว่านอาหารเสริมส่วนที่ 2 และรดด้วยน้ำ Em ขยายที่เหลือผสมน้ำ 100 ลิตร กลับกองแล้วตั้งกองเหมือนเดิม หมักต่ออีก 3 คืน
5. วันที่ 6 เช้า ปูฟางหนาประมาณ 1 ฝ่ามือ รดน้ำให้เปียกชุ่มมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ปิดโรงเรือนไว้ 1 คืน
6. วันที่ 7 ขบวนการหมักกากมัน ครบ 6 คืนพร้อมที่จะขนขึ้นชั้นได้แล้ว ก่อนทำการขนขึ้นชั้นให้ตรวจดูความชื้นในกองมันโดยการใช้มือกำดู ถ้าไม่ชื้นพอให้รดน้ำ กะดูว่ากำมือเบาๆ มีน้ำไหลออกมา เป็นใช้ได้
7. ในวันเดียวกันฟางบนชั้นเห็ดที่รดน้ำล่วงหน้าไว้ 1 คืน ทำการรดน้ำอีกครั้ง แล้วขนกากมันทับบนฟาง โดยเกลี่ยให้แบนราบ สูงประมาณ 1 ฝ่ามือ
8. ขนกากมันขึ้นครบทุกชั้น ทำการหว่านรำละเอียดบางๆ อีกครั้งแล้วปิดโรงเรือน ทิ้งไว้ 2 คืน เรียกว่าเลี้ยงเชื้อรา
9. วันที่ 9 เช้า ทำการอบไอน้ำได้ เมื่ออุณหภูมิขึ้น 70 องศา จับเวลา 3 ชม. เป็นใช้ได้
10. วันที่ 10 โรยเชื้อเห็ดได้แล้ว โดย 1 ก้อน โรยได้ 2 ตารางเมตร เมื่อโรยเชื้อครบทุกชั้น ทำการพ่นน้ำเป็นละอองเบาๆให้ทั่วถึง ปิดโรงเรือนไว้อีก 3 คืน
11. วันที่ 13 เปิดโรงเรือนจะมองเห็นเส้นใยเห็ดฟางเดินใยบนชั้นบางๆ ให้ทำการพ่นน้ำไปที่ใยเห็ด กะดูว่าใยเห็ดแนบกับกากมัน พ่นไปให้ทั่วถึง ไม่ว่าที่ใต้ชั้น ด้านข้างโรงเรือน แล้วเปิดระบายอากาศด้านบนทันที ปิดโรงเรือนทิ้งไว้ 3 คืน
12. วันที่ 16 เปิดโรงเรือนจะเห็ดดอกเห็ดเล็กๆเกิดขึ้นบ้างแล้ว ให้สังเกตดอกเห็ดดอกใหญ่ที่สุดว่าสมบูรณ์หรือไม่ คือถ้าบนดอกเห็ดมีสีดำปนเทา สมบูรณ์ดีแล้ว ถ้าขาวคือเห็ดขาดอากาศ ให้เปิดระบายอากาศ อีกเท่าตัวแล้วสังเกตในวันรุ่งขึ้น

  

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

เศรษฐีผู้รวยด้วยหนูตายตัวเดียว

เศรษฐีผู้รวยด้วยหนูตายตัวเดียว

          เมื่อเกือบสองพันปีมาแล้ว เมืองพาราณสีเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจ คับคั่งไปด้วยผู้คนทุกระดับชั้น ตั้งแต่ยาจกคนเข็ญใจ ผู้ใช้แรงงาน นักคิด และพ่อค้าผู้มั่งคั่ง ในบรรดาพ่อค้าเหล่านั้น มีเรื่องของพ่อค้าผู้หนึ่งที่น่าสนใจมากเพราะเขาได้ใช้ความเฉลียวฉลาดพาตนเองให้พ้นจากความยากจน กระทั่งในที่สุด ได้รับตำแหน่งเศรษฐีแห่งพระนครการจะได้ตำแหน่งเศรษฐีประจำพระนครนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ใครๆ ก็อาจจะเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยได้ แต่การที่จะมั่งคั่ง ขนาดที่ได้รับแต่งตั้งจากพระราชาให้เป็นเศรษฐี จำเป็นต้องรวยอย่างแท้จริง รวยจนพระราชาต้องยอมรับ
          คฤหาสน์ของเศรษฐีผู้นี้กว้างขวางใหญ่โต มีสวนผลไม้ขนาดใหญ่ มีบริวารนับร้อย มีโรงทานที่ให้ทานทุกวันสำหรับผู้ยากไร้ ฯลฯ
          คราวนี้เรามาดูกันว่าเศรษฐีผู้นี้สร้างความมั่งคั่งให้กับตนเองอย่างไร ทั้งๆ ที่ไม่มีทุนแม้แต่น้อยเศรษฐีผู้นี้เดิมชื่อว่าอะไรนั้น ดูเหมือนผู้คนจะลืมไปเสียแล้ว คนทั่วไปเรียกเขาด้วยฉายาว่า “มุสิกเศรษฐี”
          “มุสิกเศรษฐีนี้เป็นกำพร้า พ่อแม่ตายตั้งแต่เด็ก เหลือเพียงตัวคนเดียว สมัยยังหนุ่มเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างทำงานเล็กๆ น้อยๆ ตามแต่จะมีคนจ้าง ยากจนมาก และไม่รู้ว่าจะประกอบการงานใดให้รุ่งเรืองขึ้นมาได้
จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่กำลังเก็บกวาดใบไม้อยู่บริเวณถนนหลวงหน้าบ้านท่าน จุลลกเศรษฐี ท่านเศรษฐีกำลัง
จะไปธุระนอกบ้าน แลเห็นหนูตายตัวหนึ่งอยู่กลางถนน ซึ่งยังไม่มีใครเก็บกวาดไปทิ้ง ท่านเศรษฐีได้กล่าวลอยๆ
ขึ้นมาว่า….
          “คนมีปัญญาย่อมใช้หนูตัวนี้ให้เป็นประโยชน์ เลี้ยงลูกเมียและประกอบการงานได้”
          มุสิกเศรษฐีซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงคนกวาดถนนยืนอยู่ตรงนั้น ย่อมได้ยินคำพูดของเศรษฐี ก็เข้าใจว่าท่านเศรษฐีคงตั้งใจพูดให้ตนเองได้ยิน และคงมองเห็นว่าหนูจะกลายเป็นเงินเป็นทองได้ มุสิกเศรษฐีจึงคิดขึ้นมาว่า
ตนเองเห็นหนูตายมาหลายครั้งแล้ว ก็รอแต่ว่าให้เจ้าพนักงานหรือผู้มีหน้าที่มาเก็บไปทิ้ง เมื่อท่านเศรษฐี
พูดเช่นนั้นท่านคงมองเห็นวิธีทำเงินให้งอกเงยขึ้นมาจากหนูตัวนั้น แม้จะยังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไปเราซึ่งเป็นคนยากจนก็ควรจะเชื่อท่านไว้ก่อน   คิดได้ดังนั้น จึงหาใบไม้สะอาดๆ มาใบหนึ่ง เก็บหนูตัวนั้นวางบนใบไม้แล้วนำไปที่ตลาด ตั้งใจว่าจะลองไปนั่งขายที่ตลาดดู เพราะคิดว่าไม่เสียหายอะไรที่จะเสียเวลาไปตลาด เนื่องจากตนเองก็มีเวลามากมายที่ไม่รู้จะทำอะไรอยู่แล้ว
          ทางเดินไปตลาดต้องผ่านบ้านของพราหมณ์ครอบครัวหนึ่ง พอคนใช้ในบ้านพราหมณ์เห็นคนถือหนูตาย
เดินผ่านมาก็ร้องบอกให้หยุดก่อน แล้วเข้าไปแจ้งนายของตนเอง พราหมณ์ผู้เป็นนายกำลังต้องการหาอาหาร
ให้แมวที่เลี้ยงเอาไว้ แมวชอบหนูอยู่แล้ว อีกทั้งซื้อหนูตายก็ถูกกว่าจะไปหาซื้อเนื้ออย่างอื่นมาเป็นอาหารแมว
หนูตายตัวนั้นจึงขายได้ตั้งแต่ยังไปไม่ถึงตลาด มุสิกเศรษฐีได้เงินมากากณึกหนึ่ง (น้อยมากๆ จนไม่น่าสนใจ)
          คงจะเริ่มสงสัยกันแล้วนะว่าเงินเพียงหนึ่งกากณึกจะทำให้มุสิกเศรษฐีรวยขึ้น มาได้อย่างไร
          เห็นไหมว่าหนูตายตัวหนึ่งที่เคยแต่ต้องเสียเงินจ้างคนมาเก็บไปทิ้ง ยังสามารถสร้างเงินขึ้นมาได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าจากนั้นมุสิกเศรษฐีจะทำอะไรต่อไป เพราะคงไม่สามารถหาหนูตายไปขายได้ทุกวัน หรือถึงจะหาได้ คนซื้อหนูตายก็อาจจะไม่มีทุกวัน มุสิกเศรษฐีได้แต่นึกถึงคำของท่านเศรษฐีจุลลกะที่ว่า
          “คนมีปัญญาย่อมใช้หนูตัวนี้ให้เป็นประโยชน์ เลี้ยงลูกเมียและประกอบการงานได้”
          แต่ขณะนั้นมุสิกเศรษฐียังไม่มีลูกเมีย จึงได้แต่มุ่งว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้เงินที่ได้มาจากหนูตายทำให้ตนเองประกอบการงานได้ หัวใจอยู่ที่ว่าต้องใช้ปัญญาแล้วมุสิกเศรษฐีใช้ปัญญาอย่างไร
          หลังจากที่มุสิกเศรษฐีเที่ยวเก็บหนูตาย และเศษสิ่งของต่างๆ เพื่อนำไปขายในตลาดหาเงินมาเพิ่มเติมนั้น ก็พบว่ากิจการเช่นนี้ไม่ยั่งยืน เพราะของมีวันหมดและยากที่จะเลี้ยงชีพหรือประกอบการงานด้วยการเก็บเศษขยะได้ตลอดไป และแล้ววันหนึ่ง หลังจากเที่ยวเสาะหาเศษสิ่งของที่จะมาเป็นรายได้จนเหนื่อยอ่อน มุสิกเศรษฐีก็นั่งพักเหนื่อยอยู่ที่ใกล้ประตูเมือง พร้อมกับตั้งคำถามกับตัวเองว่า ควรจะทำอย่างไรต่อไป ปัญญาจะมาจากไหนที่จะสร้างเงินให้ตัวเองได้
          วันนั้นเอง มุสิกเศรษฐีก็สังเกตเห็นสิ่งที่ผ่านตาตัวเองไปจนชิน โดยที่ไม่เคยได้สังเกตมาก่อนมุสิกเศรษฐีเริ่มจะ    See the wood from the trees  แบบใน Wink and Grow Rich แล้วล่ะ
          เนื่องจากเมืองพาราณสีนี้มีการบูชาเทพต่างๆ เป็นเรื่องประจำ และราชสำนักก็ใช้ดอกไม้จำนวนมากทุกวัน   ทุกๆ วันจะมีคนเก็บดอกไม้ทูนดอกไม้ที่ไปเก็บมาจากนอกเมือง เดินกลับเข้าเมืองมาอย่างเร่งรีบเพื่อจะนำไปขาย   คนเก็บดอกไม้จำนวนมากเหล่านี้จะต้องออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ก่อนตะวันขึ้น และกลับมาพร้อมดอกไม้ด้วยอาการ  อิดโรยและเหนื่อยล้า เพราะอากาศเริ่มร้อน ความคิดหนึ่งวาบเข้ามาในหัวมุสิกเศรษฐี ทำให้เห็นลู่ทางที่จะ จะทำเงินหนึ่งกากณึกให้เป็นเงินกหาปณะได้ ( 1 กหาปณะ = 20 มาสก = 4 บาท)
          แม้จะไม่มั่นใจนักแต่ก็จะลองดูมุสิกเศรษฐีนำเงินที่มีเพียงเล็กน้อยนั้นไปซื้ออ้อยมา แล้วหาหม้อใบหนึ่งตักน้ำไปตั้งที่ทางเข้าประตูเมือง  ในเวลาสายตอนที่คนเก็บดอกไม้จะกลับมาจากป่า เมื่อคนเก็บดอกไม้เดินผ่านมา ก็เสนอให้ชิ้นอ้อยคนละหน่อยแล้วให้ดื่มน้ำหนึ่งซองมือ คนเก็บดอกไม้แต่ละคนไม่ใช่คนมั่งคั่งที่จะมีเงินซื้อน้ำดื่ม แต่พวกเขาก็  พอใจที่ได้บริการจากมุสิกเศรษฐี เพราะพวกเขาก็หิวน้ำ แต่ละคนก็แบ่งดอกไม้ให้คนละกำมือ เมื่อได้ดอกไม้มาแล้ว มุสิกเศรษฐีก็นำดอกไม้นั้นไปนั่งขายอยู่ที่หน้าเทวาลัยเช่นเดียวกับพ่อค้า ดอกไม้คนอื่น
…………………………………………………………………………………..
          แต่แล้วมุสิกเศรษฐีก็คิดได้ว่า ตนเองคงไม่สามารถยึดเอาการบริการน้ำเพียงแค่นี้เป็นการอาชีพได้
เพราะเมื่อผู้อื่นเห็นตนเองทำแล้ว ใครๆ ก็คงจะทำเป็น
……………………………………………………………………………….
เอ………เมื่อไหร่จะเป็นเศรษฐีเสียทีน้อ…………..
          “คนมีปัญญาเฉลียวฉลาดย่อมตั้งตนได้ด้วยต้นทุนแม้น้อย ดุจคนก่อกองไฟน้อยๆ ให้เป็นกองใหญ่ฉะนั้น
          คิดได้ดังนั้น มุสิกเศรษฐีจึงเปลี่ยนวิธีการ เลิกเป็นพ่อค้าขายดอกไม้ที่ได้รับมาเป็นค่าตอบแทนจากน้ำอ้อย  แต่กลายเป็นพ่อค้าส่งดอกไม้แทน เพื่อไม่ต้องเสียเวลานั่งขายดอกไม้ มุสิกเศรษฐีเริ่มตื่นแต่เช้าตรู่ไม่แพ้คนเก็บดอกไม้ ขณะที่คนเก็บดอกไม้ไปเก็บดอกไม้ มุสิกเศรษฐีก็ไปซื้ออ้อย และแบกน้ำตามไป นำไปบริการจนถึงสวนดอกไม้ ไม่ต้องรอให้ลูกค้ามาหาเหมือนเดิม คนเก็บดอกไม้ไปหาดอกไม้เหมือนเคย แต่พวกเขาเก็บ
ดอกไม้ได้นานขึ้น เพราะมีคนยอมหนักแบกน้ำออกไปบริการ เช่นนี้มุสิกเศรษฐีจึงได้ค่าอ้อยและน้ำเป็นดอกไม้
มากกว่าที่จะได้เมื่อบริการที่ประตูเมือง ขาไปเขาแบกของหนักไปคือน้ำ ขากลับเขาแบกของเบากลับมาคือ

ดอกไม้ แต่ว่าของเบานั้นทำเงินให้เขามากกว่าของหนักที่ไม่มีราคาในตัวของมันเอง แต่ว่าเป็นช่องทางให้
ได้ของเบาคือดอกไม้กลับมา
……………………………………………………………
          เป็นอันว่ามุสิกเศรษฐีไม่ได้เป็นคนเก็บดอกไม้ แต่กลับมีดอกไม้มากกว่าคนเก็บดอกไม้เสียอีก เขาได้สินค้ามาด้วยการแลกเปลี่ยนกับบริการของเขา ถ้าเราเลือกบริการที่ถูกต้อง คือถูกสถานที่และเวลา ถูกความต้องการของผู้ซื้อเราย่อมค้าขายได้กำไร แต่บางคนอาจจะแย้งว่า ถ้าขายของไม่เป็นจะทำอย่างไร
………………………………………………………………….
          ไม่มีใครทำอะไรเป็นตั้งแต่เกิด มุสิกเศรษฐีก็เช่นกัน ไม่เคยขายของ และขายของไม่เป็นจนกระทั่งวันที่เขานำหนูตายไปขาย เขารู้แต่ว่าเขาไม่ได้ต้องการดอกไม้ไปบูชา หรือเอาไปร้อยเล่นเป็นเครื่องประดับ แต่เขาก็ไม่ปฎิเสธที่จะรับดอกไม้มาแทนเงิน เขาต้องใช้ความพยายามอีกส่วนหนึ่งที่จะหาวิธีแปลงสิ่งที่ได้มาให้เป็นสินค้า ให้ได้ ถ้ามันยังเป็นสิ่งของอยู่ในใจเขามันก็ไม่เป็นเงิน เหมือนหนูตาย ถ้ามันยังเป็นสิ่งปฎิกูล มันก็ไม่เป็นเงิน เมื่อเริ่มตั้งในใจว่านั่นเป็นสินค้าเมื่อใด เมื่อนั้นสิ่งนั้นจะนำเงินมาให้
มุสิกเศรษฐีทำการบริการช่างดอกไม้อยู่หลายเดือนรวบรวมเงินได้ 8 กหาปณะ
……………………………………………….
          เดากันได้ไหมครับว่าเหตุการณ์เป็นเช่นไรต่อไปที่ไหนๆ ก็เช่นเดียวกัน พอเห็นคนมีรายได้ ก็ต้องมีคนทำตาม และก็คงมีคนเก็บดอกไม้บางคนเริ่มได้คิดแล้วนำน้ำติดตัวออกไปเอง ก็จะมีดอกไม้เหลือมากขึ้น เพราะไม่ต้องแบ่งให้คนขายน้ำการคิดริเริ่มบางอย่างก็ไปกระตุ้นความคิดให้ผู้อื่นหาทางแก้ปัญหาในทางอื่นๆ ได้ด้วย
…………………………………………………………………………..
          วันหนึ่งโชคก็มาถึงโดยไม่ได้คาดคิด วันนั้นเป็นวันหนึ่งตอนต้นฤดูฝน เกิดมีพายุ ฝนตกหนักและลมแรง
กิ่งไม้แห้ง กิ่งไม้อ่อนและใบไม้ในพระราชอุทยานถูกลมพัดตกลงมาเกลื่อนกลาด และมีกิ่งไม้ใหญ่หักลงมาด้วย
คนเฝ้าสวนไม่รู้จะทำอย่างไรที่จะนำกิ่งไม้เหล่านั้นไปทิ้งให้ได้ในเวลารวด เร็ว เขาเป็นกังวลมากว่าจะจัดการ
อย่างไร พระราชอุทยานจึงจะเรียบร้อยเพื่อรอรับเสด็จ มุสิกเศรษฐีผ่านไปพบพอดี จึงถามคนเฝ้าสวนว่า
          “เหตุใดท่านจึงมายืนอยู่ริมถนน มีท่าทางเป็นกังวลเช่นนี้ เราสิน่าจะกังวลเพราะฝนตกแต่เช้าตรู่ คนเก็บดอกไม้ไม่ได้ออกไปทำงาน เราจะไม่มีรายได้คนเฝ้าสวนจึงเล่าให้ฟังว่ามีกิ่งไม้ตกลงมาในอุทยานเป็นจำนวนมากและเขาคิดไม่ตกว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรดี
…………………………….
          ธรรมดาแล้ว สิ่งใดที่มีคนต้องการ สิ่งนั้นจะมีค่า ถ้าเราต้องการฟืน เราก็ต้องซื้อหามาด้วยเงินทอง แต่ถ้าเราไม่ต้องการเศษไม้ เศษไม้ก็ไม่มีค่า อาจจะต้องจ่ายค่าจ้างให้คนกำจัดไป ดังเช่นที่คนเฝ้าสวนกำลังประสบอยู่
ดังนั้นในเวลานั้น แรงงานมีค่า แต่ฟืนไม่มีราคาสำหรับเขา เพราะเป็นสิ่งที่เขาต้องการกำจัดไป ถ้ามุสิกเศรษฐี
ไปถามซื้อฟืนจากคนเฝ้าสวน แน่นอนว่าเขาจะเริ่มเล่นตัวและโก่งราคา หรืออาจจะขายไม่ได้ เพราะไม้อยู่
ในเขตอุทยาน แต่ถ้ารอให้เขาจ้าง มุสิกเศรษฐีก็คงไม่ได้ค่าแรง เพราะรู้อยู่ว่าคนเฝ้าสวนไม่มีเงินจะจ่ายเป็นค่าจ้าง
……………………………….
          หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว มุสิกเศรษฐีคิดว่ามีทางได้เงินและได้บุญคุณไปด้วยพร้อมกัน จึงรับอาสาคนเฝ้าสวนว่าจะนำกิ่งไม้เหล่านี้ออกไปให้โดยไม่คิดค่าจ้าง แต่ขอว่าของที่เก็บเหล่านี้ต้องเป็นของเขา คนเฝ้าสวนก็รับคำว่าเอาไปเถอะ พร้อมกับท่าทางโล่งใจมากที่มีผู้มาช่วย
          มุสิกเศรษฐีจึงเดินไปหากลุ่มเด็กรุ่นๆ ที่มักเล่นกันอยู่ประจำที่สนามเด็กเล่นท้ายพระราชวัง พร้อมกับชักชวนว่า
          “ไปช่วยเราตัดกิ่งไม้กันเถอะ เรามีน้ำและอ้อยเป็นรางวัล แล้วยังได้ไปเที่ยวเล่นในอุทยาน อันเป็นสถานที่ต้องห้ามด้วยนะ
          เด็กเหล่านั้นนึกสนุกต่างก็แย่งกันขันอาสาที่จะไปช่วยกันเก็บกิ่งไม้ เห็นมั๊ยครับว่านี่เกิดจากปัญญาของมุสิกเศรษฐีโดยแท้ ที่ทำให้งานอันต้องใช้เงินจ้าง กลายเป็นของสนุกที่มีเด็กขันอาสามาช่วยกันทำด้วยกุศโลบายของมุสิกเศรษฐี ไม่นานนัก กิ่งไม้ทั้งน้อยและใหญ่ก็ถูกขนมากองไว้ที่หน้าประตูพระราชอุทยาน
…………………………..
          ขณะที่กำลังคิดว่าจะไปหาพาหนะใดมาช่วยขนไม้ฟืนไปขาย หรือว่าควรจะไปบอกขายของแล้วนำผู้ซื้อมารับไปเองดีกว่ากัน ก็พอดีมีช่างหม้อหลวงเดินมา เขากำลังเที่ยวหาฟืนอยู่เพื่อเผาภาชนะดินของหลวง
          เมื่อเห็นมุสิกเศรษฐียืนอยู่กับฟืนกองโตเช่นนั้น จึงถามขอซื้อทันที วันนั้นมุสิกเศรษฐีได้ทรัพย์ 16 กหาปณะ และภาชนะฝีมือประณีต 5 อย่างที่ช่างหลวงสัญญาว่าจะจ่ายเป็นค่าที่เขาไม่ต้องเสียเวลาไปหาฟืน
……………………………..
          เป็นอันว่ามุสิกเศรษฐีได้เงินจากพระราชาด้วยไม้ของพระราชานั่นเองมุสิกเศรษฐีนั้นคิดว่าเมื่อมีเงินแล้วก็ต้องรู้จักใช้เงิน และการใช้เงินทางหนึ่งก็คือแบ่งปันให้กับผู้อื่นบ้าง  แม้เมื่อยังมีเงินน้อยอยู่ ก็สามารถทำได้ มุสิกเศรษฐีคิดว่าตนเองเคยกระหายน้ำมาก่อน และหาน้ำดื่มไม่ได้ เวลาที่กระหาย จึงเริ่มตั้งตุ่มน้ำไว้บริการคนหาบหญ้า 500 คนด้วยน้ำดื่ม แม้เงินที่ได้จากช่างหม้อจะไม่มากมายนัก แต่การให้น้ำก็ไม่ได้ต้องการเงินมากมายอะไร เพียงแต่คอยดูแลให้มีน้ำอยู่เสมอทุกวัน
……………………………..
          คนหาบหญ้าก็รู้สึกขอบใจมุสิกเศรษฐี และหวังตอบแทนน้ำใจเขา แต่เขาไม่ได้หวังอะไรตอบแทน
เขาเพียงแต่บอกคนหาบหญ้าว่า เมื่อใดต้องการความช่วยเหลือแล้วจะบอก เขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงจะต้องการความช่วยเหลือ แต่ก็เป็นความรู้สึกที่ดีสำหรับคนไร้ญาติมิตรอย่างเขา ที่จะมีมิตรอยู่ทั่วไปโดยอาศัยความเอื้อเฟื้อเป็นผู้นำทาง
………………………
          ต่อมาเมื่อมุสิกเศรษฐีมีเวลาและมีเงินมากขึ้น และเห็นว่าสิ่งที่ตนให้นั้นเป็นประโยชน์ เขาก็ได้ตั้งตุ่มน้ำไว้ให้คนเรือด้วย คือตั้งไว้ในทางที่คนเรือต้องสัญจรผ่าน เขาจึงสามารปลูกไมตรีไปทั่วด้วยประการดังนี้
…………………………………
          แล้ววันหนึ่งก็เป็นวันที่ไมตรีผลิผลโดยที่มุสิกเศรษฐีไม่ได้เรียกร้อง วันนั้นคนทำหญ้าคุยกันว่าวันรุ่งขึ้นจักมีพ่อค้าพาม้ามา 500 ตัว และคนทำหญ้าก็เล่าให้มุสิกเศรษฐีฟังด้วย เป็นไมตรีที่ผู้หยิบยื่นก็ไม่รู้ว่า กำลังยื่นทองคำมาให้เขา เพราะพวกเขาคุยกันเฉยๆ และก็คุยให้มุสิกเศรษฐีฟังมุสิกเศรษฐีจึงว่าแน่ะท่าน ท่านเคยถามว่าข้าพเจ้าต้องการอะไรตอบแทนที่ข้าพเจ้านำน้ำมาเลี้ยงพวกท่านทุกวัน ข้าพเจ้าจะขอท่านล่ะ พรุ่งนี้ข้าพเจ้าขอหญ้าจากท่านคนละกำ และถ้าข้าพเจ้ายังไม่ได้ขายหญ้า ขอท่านอย่าขายจะได้หรือไม่คนทำหญ้าต่างก็รับปากกันอย่างแข็งขัน พากันกล่าวว่า ขอเพียงแค่นี้ทำไมจะไม่ได้
……………………………..
          วันรุ่งขึ้น คนหาบหญ้าก็ให้หญ้าแก่มุสิกเศรษฐีคนละกำ 500 คนก็ 500 กำ นำมาไว้ให้ถึงประตูบ้านเลยทีเดียว ตกบ่ายวันนั้น พ่อค้าก็เดินทางมาถึงพาราณสี แต่ก็ต้องประหลาดใจมากที่หาซื้อหญ้าไม่ได้ แม้จะตระเวนไปทั่วพระนครแล้วก็ตาม คนทำหญ้าไม่รู้หายไปไหนหมดเขาเห็นหญ้ากองอยู่หน้าบ้านมุสิกเศรษฐี จึงมาอ้อนวอนขอซื้อ จะราคาเท่าใดก็ได้ เพราะม้าต้องกินหญ้า จะปล่อยให้ม้าอดอยากผอมโซก็คงขายไม่ได้ราคา และเขายังต้องอยู่ในเมืองอีกหลายวัน
          มุสิกเศรษฐีจึงขายหญ้าให้พ่อค้าแต่เพียงผู้เดียวในวันนั้น วันต่อๆ มา คนทำหญ้าก็เป็นผู้ขายหญ้าตามปกติ มุสิกเศรษฐีขอให้พวกเขาขายทีหลัง พวกเขาก็ไม่ได้เดือดร้อนเพราะการที่ม้าเข้ามาในเมืองเป็นจำนวนมาก เป็นเรื่องของความต้องการที่เกินกว่าปกติและเกินต่อมาอีกหลายวัน ต่างคนต่างก็ได้เงินจากการขายหญ้าจำนวนมากด้วยกันทั้งหมด
…………………………………….
          แต่มุสิกเศรษฐีได้ทรัพย์มาจากการขายหญ้าเพียงวันเดียวนั้นถึง 1,000 กหาปณะจากหญ้าจากปกติที่ไม่เคยมีราคาค่างวดเท่าใด กลับขายได้ถึงกำละ 2 กหาปณะเพราะของที่หายาก ย่อมมีราคาเสมอ
………………………………….
          หลังจากที่หาเงินได้ถึง 1,000 กหาปณะแล้ว มุสิกเศรษฐีจึงหาลู่ทางทำมาหากินอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เขาตั้งร้านค้าเล็กๆ และเก็บเงินส่วนหนึ่งเป็นทรัพย์สินเงินทองของมีค่า แต่จุดหักเหในชีวิตของเขายังมีอีก
………………………….
          วันหนึ่ง มีเรือสินค้าเข้ามา เรือลำนี้เป็นเรือใหญ่มาจากแดนใต้ ในเวลานั้นคนกำลังรอสินค้าหลายอย่าง ด้วยเพิ่งพ้นฤดูมรสุม เรือลำนี้บรรทุกสินค้าหลายชนิดซึ่งเป็นที่ต้องการ คนที่ทำงานทางน้ำได้รับรับข่าวส่งต่อๆ กันมาและเล่าให้มุสิกเศรษฐีฟัง เขาจึงเห็นลู่ทางที่จะทำเงินได้จากการรู้ข่าวล่วงหน้าก่อนคนอื่น มุสิกเศรษฐีใช้เงิน 8 กหาปณะเช่ารถคันหนึ่งออกไปยังท่าเรือพร้อมบริวารก่อนเรือจะเทียบท่าเสียอีก ก่อนที่พ่อค้าคนอื่นจะได้ข่าวหรือเตรียมตัวทัน เขาแต่งกายและตระเตรียมเครื่องใช้อันจำเป็น เพื่อให้มีมาดของผู้มียศ แล้วตั้งวงม่านกั้นแดดกั้นลมเพื่อสร้างอาณาบริเวณที่จะกันมิให้ผู้อื่นเข้าถึงตัวเขาได้ง่ายอันเป็นวิสัยของผู้มียศ และเป็นวิธีสร้างโอกาสในการต่อรองราคาสินค้า
……………………………………
          มุสิกเศรษฐีได้พบกับนายเรือที่เดินทางล่วงหน้ามาด้วยเรือลำเล็กเข้ามาก่อนและสอบถามเรื่องสินค้าที่บรรทุกมา พร้อมทั้งต่อรองราคาจนเป็นที่พอใจทั้งสองฝ่าย แล้วจึงมอบแหวนวงหนึ่งเป็นค่ามัดจำสินค้า
……………………
          หลังจากเจรจาการค้าเรียบร้อยแล้ว มุสิกเศรษฐีก็พำนักรอในวงม่านและสั่งบริวารว่า ถ้ามีใครมาขอพบให้อิดออดอยู่ 3 ครั้งก่อนพวกพ่อค้า 100 คนในเมืองพาราณสี เมื่อได้ทราบว่าเรือเข้าเทียบท่าจึงพากันออกไปเลือกซื้อสินค้า แต่ต่างก็ต้องผิดหวัง เพราะนายเรือแจ้งว่าได้ตกลงขายสินค้าทั้งลำเรือให้แก่พ่อค้าคนที่พำนักอยู่ในวงม่านนั้นหมดแล้วพวกพ่อค้าทั้งหลายต่างก็ทราบดีว่าสินค้าในเรือนั้นเป็นสินค้าคุณภาพดีเป็นที่ต้องการของชาวเมือง แม้แต่พระราชาก็ยังต้องการ พวกเขาจำเป็นต้องมีสินค้าขาย จึงพากันมาพบมุสิกเศรษฐี เพื่อขอซื้อสินค้า
………………………
          บริวารของมุสิกเศรษฐีก็ทำตามคำสั่ง คือประวิงเวลาไว้ จนพ่อค้าแต่ละรายกระวนกระวายร้อนใจ จึงเปิดทางให้พบ พวกพ่อค้าเหล่านั้นสรุปการตกลงทางการค้าได้ว่า พวกเขายินดีเข้าหุ้นกับมุสิกเศรษฐี ทำให้มุสิกเศรษฐีได้เงินมา 100,000 กหาปณะ เพื่อให้พวกพ่อค้าเป็นหุ้นส่วนในสินค้าทั้งลำเรือ
……………………………………………….
          เมื่อพวกพ่อค้าคิดกันต่อไปว่า จะจัดแบ่งสินค้ากันอย่างไรระหว่างมุสิกเศรษฐีกับพวกพ่อค้า เพราะเมื่อแบ่งสินค้ากันแล้ว มุสิกเศรษฐีก็จะเป็นผู้ที่มีสินค้าในมือมากที่สุด คือถึงกึ่งหนึ่งของที่พวกพ่อค้ามีพวกพ่อค้าจึงได้ข้อเสนอใหม่ว่า พ่อค้าแต่ละคนต่างก็ตกลงจ่ายเงินให้มุสิกเศรษฐีอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อให้เขาปล่อยหุ้น พ่อค้าแต่ละคนก็จะได้เหมาสินค้าส่วนที่ตนต้องการไปเป็นของร้านค้าตนทั้งหมดเท่ากับว่ามุสิกเศรษฐีได้ทรัพย์จากการขายสินค้าครั้งนี้ 200,000 กหาปณะจากแหวนเพียงหนึ่งวงที่ใช้มัดจำค่าสินค้า เหลือเชื่อไหมครับ…..
………………………………
          มุสิกเศรษฐีได้ทรัพย์ครั้งนี้มาด้วยปัญญาโดยแท้เขาได้ข่าวสารก่อนผู้อื่น………. แล้วข่าวสารนี้เขาได้มาอย่างไร…….ได้มาจากความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้คนทั่วไป ผู้ที่ให้ข่าวสารก็ไม่ได้ตั้งใจอยู่ที่ปัญญาของผู้รับฟังที่จะถอดรหัสข่าวสารออกมาเป็นวิธีการที่จะสร้าง กำไร
………………………
          อาจมีผู้สงสัยว่า เหตุใดมุสิกเศรษฐีไม่เป็นผู้ขายสินค้านั้นเองบ้างแทนที่จะขายให้พ่อค้าอื่นไปจนหมด ก็จะได้กำไรเพิ่มขึ้นอีกสิ่งที่มุสิกเศรษฐีคิดก็คือ เขาต้องรู้จักประมาณตนเอง และรู้ว่าเมื่อใดควรจะจบเรื่อง เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ ในชีวิต เขารู้ว่าต้องมีเงินบ้างจึงจะเจรจาจนกระทั่งทำให้นายเรือเชื่อถือและรับมัดจำไว้ แต่เขาก็ไม่ได้มีเงินมากมายพอที่จะซื้อสินค้ามาไว้ในมือจำนวนมากได้ เขาเพียงแต่กะเก็งความต้องการของพ่อค้าอื่นๆ และฉวยโอกาสเท่าที่โอกาสเปิดให้เท่านั้น อีกประการหนึ่ง เขาไม่ต้องการแข่งขันกับพ่อค้าอื่นๆที่เขาขายสินค้านั้นๆ อยู่แล้ว จะเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็นตราบเท่าที่เขายังมีปัญญา เขาต้องหาทางก่อร่างสร้างตัวด้วยกิจการอื่นที่ได้ประโยชน์ต่อผู้อื่น และไม่เบียดเบียนผู้ที่ทำกิจการอยู่แล้ว
…………………
          มุสิกเศรษฐีได้เงินมา 200,000 กหาปณะ ซึ่งมากมายล้นเหลือในชีวิตของเขา ถ้าเป็นเรา เราจะนำเงินนั้นไปทำอะไร ลองคิดกันดูนะครับ
……………………….
          นี่เป็นวิธีใช้เงินของมุสิกเศรษฐีเมื่อเขาได้เงินมานั้น ก็มาคิดได้ว่าที่เขามีทรัพย์ได้ถึงเพียงนี้ก็เพราะท่านจุลลกะ เป็นผู้ชี้เรื่องหนูตาย ทำให้เขาได้ความคิดเขาควรมีกตัญญู เขาจึงไปขอพบท่านจุลลกเศรษฐี แล้วแบ่งทรัพย์ให้ท่ากึ่งหนึ่งในชั้นต้น ท่านเศรษฐีสงสัยว่า เขาแบ่งทรัพย์ให้ท่านทำไมเขาจึงเล่าเรื่องนับแต่ได้หนูตายให้ฟัง ท่านเศรษฐีได้รับฟังแล้วจึงพอใจในความมีกตัญญูและรู้จักหาทรัพย์ของเขา จึงได้ยกธิดาให้เป็นภริยาของเขา
ทั้งสองสามีภรรยาก็ได้ทำงานมีกิจการของตนเอง เมื่อจุลลกเศรษฐีถึงแก่กรรมพระราชาจึงแต่งตั้งให้มุสิกเศรษฐีเป็นเศรษฐีแห่งพาราณสีสืบมา
---------------------------------------------------------------------------------------
          แล้ววันนี้แหละ คุณเห็นช่องทางแล้วหรือยังผมเห็นแล้ว จาก Angtylove2 แห่งนี้นี่แหละปล. แง่คิดที่ผมได้นะคับ

1. คนเราอาจจะไม่สำเร็จกับการทำธุรกิจอย่างแรกเสมอไป ถ้าเราล้มก็ลุกขึ้นต่อคับ
2. ทำให้คนอื่นชอบเราเค้าไว้ถึงแม้วันนี้เรายังไม่ต้องการความ ช่วยเหลือก็ตาม
3. สิ่งที่กั้นระหว่างคนที่สำเร็จกับคนที่ล้มเหลวอยู่ ที่การกระทำคับ เพราะคนที่สำเร็จเค้ากล้าที่จะลองผิดลองถูก
ล้มแล้วกล้าที่จะสู้ใหม่ ส่วนคนที่ล้มเหลว อาจเพราะได้แต่คิดว่าจะทำ แต่ไม่ลงมือทำ หรืออาจทำไปแล้วพลาด
และไม่กล้าลุกมาใหม่จึงกลายเป็นคนที่ล้มเหลวอยู่จนถึงทุกวันนี้..
4. คุณไม่ได้ล้มเหลว 1000 ครั้ง แต่คุณค้นพบสิ่งที่ไม่สำเร็จ 1000 อย่างเท่านั้นเอง (จะสุขจะทุกข์มันอยู่ที่มุมมอง)

ความแตกต่าง ระหว่าง คนรวย กับ คนชั้นกลาง

วันนี้ขอนอกเรื่องหน่อยนะครับ ไม่รู้ว่าจะเข้ากับชีวิตใครหลาย ๆ คนหรือเปล่ามาอ่านกันเลยครับ
10 ความแตกต่าง ระหว่าง คนรวย กับ คนชั้นกลาง
ความแตกต่างข้อแรกก็คือ เศรษฐีนั้นคิดยาวแต่คนชั้นกลางคิดสั้น
          ว่าที่จริงคนที่คิดสั้นที่สุดก็คือคนจน พวกเขามักจะคิดอะไรแบบวันต่อวันทำนองหาเช้ากินค่ำ
คนชั้นกลางนั้นมักจะคิดเป็นเดือนต่อเดือน นั่นคือคิดถึงวันเงินเดือนออก แต่คนรวยจะต้องคิดยาวเป็นปี ๆ หรือเป็นสิบ ๆ ปี ในใจของคนจนนั้น เขามักคิดแต่เฉพาะเรื่องของความอยู่รอดเป็นหลัก
ในขณะที่คนชั้นกลางคิดถึงเรื่องความสุขสบายจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้า ส่วนคนรวยนั้น เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน เขาต้องการความเป็นอิสระทางการเงิน การคิดยาวนั้นมีพลังมหาศาล เพราะมันจะทำให้เขาอดออมและลงทุนระยะยาวซึ่งจะทำให้เงินงอกเงยแบบทบต้นเป็นเวลานาน และนี่คือสูตรสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้คนมั่งคั่ง

ข้อสอง คนรวยพูดเกี่ยวกับเรื่องไอเดีย คนชั้นกลางพูดเกี่ยวกับสิ่งของ และคนจนพูดถึงเรื่องของคนอื่น
          นี่คงไม่ได้หมายถึงว่าคนรวยไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งของหรือคนอื่น แต่หมายถึงว่าคนรวยจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นน้อยกว่าคนจนและมักจะเป็นคนที่มีแนวความคิดดี ๆ หรือมีมุมมองต่าง ๆ มากกว่าคนชั้นกลางและคนจน เบื้องหลังของนิสัยในเรื่องนี้คงอยู่ที่ว่า คนรวยนั้นมักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนจนซึ่งมักจะชอบ ซุบซิบนินทาเป็นนิจสิน ในขณะที่คนชั้นกลางอาจจะเน้นการทำงานประจำ ชอบพูดถึงเรื่องรถยนต์ ดนตรี การพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น

ข้อสาม คนรวยยอมรับการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
          คนชั้นกลางรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจะคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนเองเคยชินในขณะที่คนรวยนั้นคิดว่าการเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่า เขาคิดว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้นมักมีโอกาสที่เขาอาจจะฉกฉวยได้
เบื้องหลังนิสัยนี้อาจจะมาจากการที่คนรวยมีความมั่นใจสูงกว่าคนชั้นกลางที่มักจะกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ ๆ ได้

ข้อสี่ คนรวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง
          นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้นจะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง ในขณะที่คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริง ๆ นั้นจะมีน้อยมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ
คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินที่มีความผันผวนของราคาโดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้วมันอาจจะมีความคุ้มค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก ในอีกมุมหนึ่ง คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง บ้าบิ่นเช่นคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันเองก็ไม่ใช่นิสัยของคนรวย คนรวยนั้นจะต้องรับความเสี่ยงเฉพาะที่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว

ข้อห้า คนรวยเรียนรู้และเติบโตตลอดชีวิต คนชั้นกลางคิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียน
          นิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นหัวใจเศรษฐีจริง ๆ เพราะในความรู้สึกของผมเอง การเรียนรู้จากโรงเรียนเป็นเพียงพื้นฐานที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้ และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนนั้นยาวมากเป็นหลายสิบปี ดังนั้น ความรู้ส่วนใหญ่จึงควรที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน โดยนัยของข้อนี้ คนรวยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่านหรือการหาความรู้ต่อไปเรื่อย ๆ ในขณะที่คนชั้นกลางนั้น พอเรียนจบก็มักจะไม่สนใจอ่านหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ ๆ และความรู้ที่ผมคิดว่าคนชั้นกลางพลาดไปเพราะไม่มีการสอนในโรงเรียนก็คือ ความรู้ทางด้านการเงินที่คนรวยมักจะศึกษาต่อเพราะเห็นถึงความสำคัญและอาจนำไปสู่ความร่ำรวยได้

ข้อหก คนรวยทำงานเพื่อหากำไร คนชั้นกลางทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้าง
          คนรวยมองว่านี่คือหนทางที่จะทำให้รวยได้มากกว่าแม้ว่าจะมีความเสี่ยง ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นมักจะไม่กล้าเสี่ยงและอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่า จึงมุ่งไปที่การหางานที่จะมีรายได้แน่นอน แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเองนั้น มีน้อยคนที่จะทำให้ตนเองรวยได้

ข้อเจ็ด คนรวยเชื่อว่าพวกเขาจะต้องใจบุญสุนทาน คนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญ
          ข้อนี้ผมเองคงไม่มีคอมเม้นท์อะไร ส่วนหนึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องของแต่ละคนที่ไม่ค่อยบอกหรือรู้กันยกเว้นกรณีที่เป็นการบริจาคใหญ่ ๆ อย่างกรณีของบัฟเฟตต์หรือบิลเกต

ข้อแปด คนรวยมีแหล่งรายได้หลากหลาย คนชั้นกลางมีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่ง
          ข้อนี้ก็เช่นกัน ผมเองไม่แน่ใจว่าคนรวยมีรายได้จากหลายแหล่งเพราะรวยแล้วจึงไปลงทุนในทรัพย์สินหลาย ๆ อย่าง หรือมีทรัพย์สินหลายอย่างจึงทำให้รวย แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ คนชั้นกลางนั้น มักไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็นหลัก

ข้อเก้า คนรวยเน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งของตนเอง คนชั้นกลางเน้นการเพิ่มของเงินเดือน
          เป้าหมายของคนรวยนั้นอยู่ที่ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนโดยมองที่ภาพรวม ดังนั้น ถ้าเขามีหุ้นอยู่ การที่หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นโดยที่เขาไม่ต้องเสียภาษี แต่คนชั้นกลางพยายามทำงานเพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้นแต่เขาอาจจะลืมไปว่าเขาจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นด้วย สรุปก็คือ คนรวยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเอง

สุดท้าย ข้อสิบ คนรวยชอบตั้งคำถามที่เป็นบวกและสร้างกำลังใจ เช่น ฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อย่างไร? ในขณะที่คนชั้นกลางชอบตั้งคำถามที่เป็นลบและเสียกำลังใจเช่น จะหาเงินมาจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิตเดือนนี้ได้อย่างไร ?



แต่ผมว่าวิธีคิดอย่างเดียวมันไม่อาจจะช่วยได้ทั้งหมดหรอกนะ
มันต้องบวกกับการลงมือทำอย่างจริงจังของเราเพิ่มเติมลงไปด้วย
ถึงจะประสบความสำเร็จในชีวิต 

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

การทำให้เห็ดเติบโตได้ดี

มีคนถามมาเยอะครับว่าทำอย่างไรเห็ดจะเกิดได้ดี ดอกใหญ่ ไม่บานง่าย มันอญุ่ในบทความของผมแล้วก็ลองหาอ่านกันดูนะครับ วันนี้ผมมีวิธีที่ทำให้เห็ดดอกโตมาฝากกันครับ ผมเคยลงมาในเว็บเก่าบางคนอาจเคยเห็นมาบ้างก็ขอให้เข้าใจว่าเป็นเว็ปเดียวกัน(จำรหัศเว็ปเดิมไม่ได้)  เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาตามมาเยยครับ

การทำให้เห็ดเติบโตได้ดี มีองค์ประกอบ อย่างคือ
           1. สภาพแวดล้อมของเห็ด เห็ดทุกตัวต้องการความร้อนและความชื้น ในแต่ละช่วงเวลาการเจริญเติบโตไม่เหมือนกัน อันนี้มีผลโดยตรงกับการเพาะเห็ด ต่อให้สารอาหารเห็ดมีมากเพียงใด ก็ไม่ทำให้เห็ดโตได้ดีไม่เชื่อคุณก็ลองไปกินข้าวตากแดดดู คุณเองก็คงกินได้ไม่มากต่อให้อาหารอร่อย ถึงหิวจัดก็คงกินได้พออิ่มไม่ทนนั่งกินต่อนาน ๆ พืชก็เหมือนกัน เกษตรกรบางคนไม่คิดเช่นนั้น ไม่ได้ให้ความสำคัญ เพราะในโรงเรือนเราเคยเพาะได้ดีไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ทั้ง ๆ ที่มันมีผลโดยตรง ดังนั้นจึงโทษความผิดไปที่คนอื่นคือวัสดุเพาะหรือก้อนเพาะ แต่ไม่ดูตัวเอง การที่จะรู้ว่าเห็ดของเราในโรงเรือนของเราชอบสภาพแวดล้อมอย่างใด โรงเรือนแต่ละโรงจะเลี้ยงได้ดีไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับวัสดุก่อสร้าง ขนาดของโรงเรือน
จำนวนของวัสดุเพาะในโรงเรือน ต้องมีการจดบันทึกการทำงาน ต้องซื้อเครื่องมือวัดความร้อนและความชื้น ให้รู้ว่าในระยะการเจริญเติบโตนี้ ระยะเวลาการเพาะนี้ มีความชื้นเท่าไร อุณหภูมิเท่าไร ก้อนเห็ดยี่ห้อนี้หรือวัสดุเพาะที่ผ่านการหมักมาแบบนี้ เห็ดโตได้เท่าไรให้คะแนนการโตของเราไว้ ถ้าใช้จำในใจมันไม่ได้เรื่องเพราะไม่ได้มีการเปรียบเทียบ ผลของการจดบันทึกการทำงานต้องทำใส่ลงในตารางเปรียบเทียบ เราจะเห็นผลชัดเจน พอรู้ผลแล้วเราจะสังเกตออกว่าก้อนเห็ดหรือวัสดุเพาะของเราลักษณะนี้ ต้องการความร้อนหรือความชื้นที่เท่าไร ประโยชน์
โดยแท้จริงของการจดบันทึกก็คือให้เราได้มีโอกาสการสังเกต การสังเกตจะช่วยให้เรารู้จักผลลัพธ์ของสิ่งที่เราทำไปได้มาก ส่วนทฤษฏีที่บอกว่าต้องอุณหภูมิเท่านั้นความชื้นเท่านี้ เขาบอกมากว้าง ๆ ไว้ให้เป็นแนวทางปฏิบัติ สำหรับตาสีกับตาสาที่ไม่มีโอกาสได้หาความรู้ เลี้ยงเห็ดเป็นเรื่องของความละเอียดอ่อน ถ้าทำได้มากเท่าไรก็ได้ผลมากเท่านั้น พอทำไปนาน ๆ เข้าคุณก็จะรู้ ตานี้ก็ไม่ต้องจดบันทึกแล้ว พอเห็นก็รู้ว่าจะต้องทำอะไร อันนี้ถึงเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งสำหรับมือใหม่เราไม่ใช่ ต้องให้รู้ก่อนจึงทำแบบนั้นได้ และที่สำคัญที่สุดคือถ้ารู้แล้วว่าเห็ดชอบอุณหภูมิและความชื้นเท่าไรแล้ว คุณจะต้องพยายามคงไว้ให้นิ่งมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเห็ดจะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการปรับตัวไปมา จะเติบโตได้รวดเร็วมากกว่า เรื่องสภาพแวดล้อมนี้ถ้าใครไม่เห็นประโยชน์รับรองได้ว่า ผลผลิตของคุณจะได้ไม่สม่ำเสมอ ทำรายได้ได้มากบ้างน้อยบ้าง ก็แล้วแต่กรรมหรือการกระทำของตัวเอง อันนี้เราเรียกว่ากรรมตามสนองทำดีได้ดี



           2. สารอาหารเห็ด เห็ดส่วนใหญ่ไม่สามารถสร้างหรือกินสารอาหารได้โดยตรง (ยกเว้น เช่น เห็ดหอม เห็ดหูหนู เห็ดนางรม) อาหารของเห็ดจะได้จากการย่อยสลายของสารอินทรีย์วัตถุ โดยผ่านการทำงานของเชื้อจุลินทรีย์ ในการเพาะเห็ดชนิดอื่นที่ไม่ใช่เห็ดฟาง ส่วนใหญ่อาหารเห็ดที่มีมาในถุงผู้ผลิตจะรู้อยู่แล้วว่าควรใส่อะไรเท่าไร ถึงอย่างไรการเก็บดอกในระยะแรก ๆ อาหารควรจะมีเพียงพอ ส่วนสารหมักวัสดุเพาะเห็ดฟาง หรืออาหารเสริม หรือสารช่วยเสริมที่เขาขายกัน บอกว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้  มันไร้สาระ หลอกขายของเท่านั้นทำเองได้ดีกว่า เห็ดดูดซึมสารอาหารผ่านทางผนังเซลล์ คุณเคยเห็นรากเห็ดไหม มันไม่มี และสารที่สามารถกินได้มันต้องเป็นโมเลกุลเล็ก ๆ เช่น กลูโคส ฟรุคโตส อันนี้เป็นน้ำตาลที่ผ่านการย่อยสลายแล้ว กลูโคสซื้อสารตรง ๆ ได้ที่ร้านขายยา พรุดโตส
อันนี้มีอยู่ในเครื่องดื่มบำรุงกำลังหรือนมเปรี้ยวบางตัวหรืออาหารเสริมของคน ต้องอ่านฉลากข้างขวดด้วยเพราะบางยี่ห้อไม่มี แต่ถึงมีก็น้อย มีบางคนก็ใช้นมข้นหวาน ขอบอกว่านมข้นหวานปัจจุบันเป็นครีมเทียมใส่น้ำตาล สิ่งที่คุณได้อย่างเดียวคือน้ำตาล ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปที่เห็ดสามารถนำมาใช้ไม่ได้โดยตรง ส่วนสารอาหารอื่น ๆ นอกจากนี้เห็ดจะกินได้ต้องมาจากการกระบวนการหมักสารอินทรีย์ เช่น ฟาง เปลือกมัน รำ มูลสัตว์ เศษผลไม้ หรือปุ๋ยยูเรียหรืออาหารเสริมอื่นเช่น ยิปซัม ปูนมานซึ่งเป็นแคลเซียม รวมความว่าตัวอื่นต้องผ่านการหมักทั้งนั้น ซึ่งจะมีอยู่แล้วในถุงเพาะ แล้วแต่ว่าเจ้าไหนจะใส่อะไรมากน้อยเพียงไร เราไม่มีโอกาสรู้นอกจากจะลองเพาะไปพร้อม ๆ กันหลายยี่ห้อแล้วดูว่าในสภาพแวดล้อมอย่างนี้สำหรับกับแต่ละคนเท่านั้น ยี่ห้อนี้ใช้ได้ดี ส่วนฮอร์โมนซึ่งใช้เป็นสารกระตุ้นการเจริญเติบโตนั้น จะเป็นสารในกลุ่ม
 auxin ซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการขยายขนาดของเซลล์ ซึ่งมีสารสงเคราะห์ขายอยู่มาก ได้แก่ NAA IBA 4-CPA 2,4-D ให้ซื้อสารตรงใช้เลยไม่ต้องซื้อที่เขาเอามาผสมขาย เพราะการใช้จะได้ผลดีหรือไม่จะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นหรือปริมาณที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับชนิดของเห็ด สภาพแวดล้อมของเห็ด ระยะการเติบโตของเห็ด ซึ่งการซื้อสารที่เขาผสมมาขายเขาจะใช้ปริมาณปานกลาง ซึ่งไม่แน่ว่าจะดีสำหรับเห็ดเสมอไปแล้วแต่ดวง ต้องมาลองใช้ในที่ความเข้มข้นต่าง ๆ เองเหมือนกัน แต่จากประสบการของผม ผมใช้ EM ซึ่งได้จากการหมักเศษผลไม้กับกากน้ำตาล    การใช้ EM จะมีจุลินทรีย์อื่นปนเปื้อนอยู่ด้วย ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงในเรื่องของการติดเชื้อก้อนเห็ด ต้องใช้ในปริมาณน้อยมาก แต่ถ้าในเห็ดฟางยิ่งใช้มากยิ่งดีมากใช้มากเท่าไรก็ดีเท่านั้น เพราะถ้าเชื้อเห็ดยังแข็งแรงดีอยู่มันก็รบชนะและใช้สารอาหารใน EM ซึ่งถูกย่อยสลายไว้แล้วได้ตรง ๆ เรียกว่าเราเคี้ยวให้แล้วพี่แค่กินอย่างเดียว ถ้าแพ้ก็รื้อทิ้งทำใหม่หรือทำซ้ำในวัสดุเพาะเดิมก็แค่นั้นไม่ต้องกลัวเรื่องต้องซื้อก้อนเชื้อใหม่   
ส่วนขั้นตอนการเลี้ยงดูในทุกเห็ดใช้หลักการเดียวกัน การทำวัสดุเพาะจะมีความยุ่งยากตรงต้องทำให้เป็นเท่านั้น ซึ่งการเพาะเห็ดอื่นข้อยุ่งยากนี้เรายกให้เป็นหน้าที่ของผู้ขายก้อนเพาะ ซึ่งเราก็ต้องจ่ายค่าทำให้กับเขา มาต่อเรื่อง EM สำหรับวิธีใช้อีกอย่างก็คือ นำ EM ที่ได้จากการหมัก มากรองให้ได้น้ำประมาณ ลิตร แล้วมานึ่งในหม้อนึ่งอาหาร(ซึ้งนึ่ง) ให้จับเวลาตั้งแต่เดือดนาน 2 ชั่วโมง โดยพอน้ำเดือดแล้วให้ลดไฟลงในขนาดที่พอให้น้ำเดือนอยู่ตลอดเวลาคือมีไอน้ำออกมานอกซึ้งนึ่งตลอด ต้องใส่น้ำให้มากพออย่าให้น้ำแห้ง EM ที่ผ่านการนึ่งจะไม่ปนเปื้อนมากนัก แต่ก็จะสูญเสียสารอาหารที่เป็นสารประกอบของไนโตรเจน ซึ่งเป็นสารที่ใช้สังเคราะห์โปรตีนเพื่อการเจริญเติบโตในเห็ด แต่สำหรับตัวอื่น ๆ เช่น สารประกอบของคาร์บอน จำพวกน้ำตาล รวมทั้งฮอร์โมนและสารอาหารรองตัวอื่น ๆ ที่ได้จากเศษผลไม้ไม่สุญเสียไปมากนัก การใช้ EM ที่หมักจากเศษผลไม้จะให้ผลได้ดีกว่าซื้อฮอร์โมนหรือยากระตุ้นหรือยาเร่งโตมากนัก และถ้ายังไม่พอใจก็ผสม NAA ลงไปในความเข้มข้นต่าง ๆ ลงไป ทดลองดูว่าความเข้มข้นไหนสำหรับเรามันดี ขอย้ำว่าดีสำหรับวิธีการทำงานของเราเท่านั้นแต่ละคนใช้ความเข้มข้นไม่เหมือนกัน ผมเองก็ยังเคยคิดที่จะทำขายเลย แต่คิดไปคิดมาก็ไม่ทำเพราะมันเป็นการเอาเปรียบคนไม่รู้ เกษตรกรไทยเรายิ่งจนอยู่แล้วเพราะความไม่รู้ กลัวบาป(การกระทำที่ทำให้ผู้อื่นหรือตัวเองรู้สึกไม่ดี บาปไม่ใช้การการทำชั่วเสมอไป บางครั้งการทำสิ่งไม่ดีแต่ไม่ได้ทำให้ผู้อื่นเดือนร้อนและไม่ได้ทำให้ตัวเองทุกข์ใจ ก็ไม่ได้เรียกว่าบาป เช่นการโกหกเมียว่าไม่ได้กินเหล้า พูดให้เมียสบายใจไม่บาป แต่ตัวเองต้องทุกข์กับการกิน อันนี้บาป แต่ชอบ) แต่ผมไม่กินนะครับ  เสียดายตังส์  ลองนำไปใช้ดูนะครับ  เดี๋ยวผมจะเอาเรื่อง "การโรยเชื้อเห็ด"เป็นเรื่องต่อไปพอแค่นี้ก่อนนะครับ  เอวังด้วยประการฉะนี้แล



วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

การดูแลรักษาในระยะเก็บดอกเห็ด

เรื่องการดูแลรักษาในระยะเก็บดอกเห็ด
หลังจากฉีดตัดใยแล้ว ระยะนี้เห็ดจะมีความความอ่อนแอที่สุด ถ้าไม่อยู่ในสภาพที่เหมาะสมแล้วจะไม่ให้ดอก ซึ่งจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญในเรื่องต่อไปนี้
1.อุณหภูมิภายในโรงเรือนควรจะอยู่ประมาณ 28-32 องศา 


2.อากาศ ช่วงนี้ถ้าในโรงเรือนมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์สูง จะทำให้เห็ดไม่จับดอก ดังนั้นความหมั่นสำรวจอากาศภายในโรงเรือน โดยการเข้าไปภายในโรงเรือน ถ้าคุณอยู่ไม่สบาย คืออึดอัดหรือไม่เย็นสบาย แสดงว่าอากาศน้อยไป ต้องใช้พัดลมเป่าให้อากาศ 


3.ความชื้น ก่อนให้พัดลมเป่าอากาศ ให้สังเกตก่อนว่า ความชื้นในกองเพาะเพียงพอหรือไม่ โดยดูจากการเอามือกดไปที่กองเพาะเบา ๆ พอยุบลงไปเล็กน้อยแล้วต้องรู้สึกเปียก คือพอดี ถ้ารู้สึกแห้งให้ฉีดน้ำผนังโรงเรือนและพื้นให้ชุ่ม ห้ามให้น้ำในกองเพาะอย่างเด็ดขาด และให้หมั่นให้น้ำให้บ่อย ๆ ตลอดเวลา ส่วน ในกรณีที่เปียกไป คือเอามือกดแล้วมีน้ำติดนิ้วมือมา ให้หยิบเอาวัสดุเพาะตามแนวลึกขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วบีบให้พอแน่น ดูว่าถ้ามีน้ำหยดหรือมีน้ำออกมาตามร่องนิ้วมือ ก็คือเปียกไป ให้เป่าลมช่วยจนกว่าหน้ากองเพาะจะพอแห้ง แล้วน้ำในกองเพาะจะระเหยออกมาช่วยผิวของกองเพาะให้พอดีไปเอง หากคุณซื้อเครื่องจับอุณหภูมิตามที่ผมแนะนำให้ในตอนต้น ๆ คุณสามารถดูได้จากค่าวัดความชื้น ซึ่งเครื่องมีให้มาด้วยถ้าคุณเป็นมือใหม่มีตัวนี้จะได้เห็นค่าความชื้นให้อยู่ที่ 85-90 เปอร์เซ็นต์ คือถูกต้อง และต้องอย่าลืมว่าเครื่องวัดค่าความชื้นที่ตัวมัน ไม่ใช่ที่สายที่โยงออกไป ฉะนั้นต้องเอาเครื่องไปไว้แนบกับกองเพาะ ถึงจะได้ความชื้นที่กองเพาะ 

4.แสง หากคุณจัดทำโรงเรือนตามที่ผมแนะนำข้างต้นเพียงคุณเปิดตาข่ายพลางแสงบนโรงเรือนออกในช่วยเช้า และให้ปิดในต้องเที่ยงที่แดดเริ่มแรง แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว การให้แสงนั้นผมเคยบอกไว้ในตอนที่แล้วนะครับ 





ถ้าทุกอย่างถูกต้อง ภายใน 1-2 วันเห็ดจะเริ่มจับเป็นเม็ดเท่าหัวเข็มหมุด ให้รักษาอุณหภูมิ 30-34 องศา แสงไม่ต้องแล้วส่วนความชื้นให้คงไว้ที่ 80-90% ตลอดไป หลังจากนั้นเห็ดจะเจริญจนได้เท่ากับหัวกระดุมเสื้อ ในระยะนี้ถ้าอุณหภูมิภายในโรงเรือนต่ำกว่า 28 องศา ในช่วงกลางคืน คือประมาณ ตี 2 – 4 แสดงว่าอากาศนอกโรงเรือนเย็นเกินไป จะมีผลทำให้เห็ดหยุดการเจริญเติบโต เพราะฉะนั้นในช่วงที่มีอากาศหนาว คุณจะต้องกองวัสดุเพาะให้หนาขึ้น โดยให้จับอุณหภูมิภายในกองเพาะสูงถึง 41 องศา การจับอุณหภูมิภายในกองเพาะให้จับหลังจากกองวัสดุเพาะเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอให้ถึงกลางคืนเวลาตี 2-4 ถ้าจับอุณหภูมิได้ไม่ถึง 41 องศา เช้าก็ให้กองเพิ่มเข้าไปอีก ก็จะทำให้ผลผลิตไม่น้อยลงในช่วงอากาศเย็น อันนี้เป็นเคล็ดสำคัญในการเพาะในช่วงอากาศเย็น ซึ่งคุณจะขายเห็ดได้ในราคาสูงขึ้น 10-30 บาท ต่อ ก.ก. โดยผลผลิตไม่ลดลง เพียงแต่เพิ่มต้นทุน 10-15 % เท่านั้น
อุณหภูมิภายในโรงเรือนในช่วยกลางวัน ถ้าหากสูงมาก คือตั้งแต่ 38 องศาขึ้นไป จะทำให้โรงเรือนสูญเสียความชื้น ให้คุณปิดตาข่ายพลางแสง และให้น้ำผนังโรงเรือนและพื้น จะทำให้อุณหภูมิลดลงไป 2-4 องศา หากให้น้ำแล้วอุณหภูมิยังสูงอยู่ก็ให้เปิดพัดลมเป่าอากาศช่วยจนอุณหภูมิลดลงก็ให้ปิด ให้รักษาอุณหภูมิและความชื้นเช่นนี้ตลอดไปจนเก็บเห็ดรอบแรกเสร็จ
ในระยะที่เห็ดโตในระยะหัวกระดุม ให้ฉีดพ่นสารดังนี้
1.E.M. 200 ซี.ซี.
2.วิตามินบี 1 จำนวน 1 เม็ด
3.สารจิบเบอเรลลิน ยี่ห้อไหนก็ได้ อัตราการใช้ให้ใช้ครึ่งหนึ่งของที่ระบุไว้ตามฉลาก ห้ามใช้มากกว่านี้ครับ เพราะดอกเห็ดจะยืดยาวมากไป ไม่สวย
4.น้ำ 20 ลิตร

ให้ฉีดพ่นทุกวัน ช่วงเช้า ถ้าเริ่มเก็บดอกเห็ดแล้วให้ฉีดหลังจากเก็บดอกเห็ดเสร็จ การฉีดพ่นนี้จะเพิ่มน้ำหนักเห็ดได้มากกว่า 15%

              เมื่อเก็บเห็ดรอบแรกเรียบร้อยแล้ว ประมาณ 7 – 12 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความหนาของวัสดุเพาะ ถ้ากองเพาะหนามากเห็ดจะเกิดค่อยข้างจะพร้อมกัน ถ้ากองเพาะบางเห็ดจะทยอยเกิดทำให้ทำงานยาก เก็บได้ที่ละไม่มากแต่เก็บได้หลายวัน จนปนกันไปหมดไม่รู้ว่าเป็นการเก็บเห็ดรอบแรกหรือรอบสอง และปกติถ้าอุณหภูมิภายในกองเพาะต่ำกว่า 34 องศา เห็ดก็จะเริ่มไม่ให้แล้วครับ ทั้งโรงเรือนเก็บได้ไม่กี่ ก.ก. ให้รื้อทิ้งได้ครับ นอกจากนี้ในกองเพาะก็จะเริ่มมีแมลงไรด้วย

               การพิจารณาว่าจะรื้อทิ้ง แล้วเริ่มทำเห็ดใหม่หรือไม่ให้พิจารณาจากอุณหภูมิภายในกองเพาะ ถ้าต่ำกว่า 36 องศาจะเริ่มให้เห็ดน้อยลงไปเรื่อย ๆ ตามอุณหภูมิที่ลดลง เกษตรกรบางรายก็ใช้วิธีทำให้อุณหภูมิภายในโรงเรือนสูง เพื่อให้กองเพาะมีความร้อนเพียงพอที่จะสร้างใยเห็ดรอบใหม่ แต่คุณจะเจอปัญหาในเรื่องความชื้นไม่พอตามมาที่หลัง คนที่จะทำเห็ดหลาย ๆ รอบ ต้องควมคุมความชื้นให้เป็น สำหรับผู้ที่ใช้ทลายปาล์มเป็นวัสดุเพาะ ทลายปาล์มสลายยากคงอุณหภูมิได้นาน ส่วนใหญ่จะให้เห็ดทยอยเกิดไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้ควบคุมบังคับ ซึ่งเป็นเหตุให้ใช้เวลาในการเพาะนานเกินไป ต้องบังคับให้ได้ถึงจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า
ดังนั้นในการทำเห็ดแบบโรงเรือน คุณจะต้องวางแผนก่อนตั้งแต่แรกว่าคุณจะเก็บเห็ดกี่รอบ เพราะถ้าเก็บ 2 หรือ 3 รอบการกองวัสดุเพาะจะต้องให้หนา และการอบไอน้ำก็ต้องอบในระยะเวลาที่ถูกต้อง การจัดอาหารเสริมให้เหมาะต่อระยะเวลาการเก็บ อันนี้ต้องอาศัยประสบการณ์
หลังจากเก็บเห็ดรอบแรกเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้
-E.M. 300 ซี.ซี.
-วิตามินบี 1 จำนวน 1 เม็ด
-แป้งที่คุณใช้ผสมหัวเชื้อ 5 ช้อนโต๊ะ
-น้ำ 20 ลิตร
ใช้ลาดลงบนแปลงเพาะ โดยเฉลี่ยให้ได้ประมาณ ต.ร.ม. ละ 1 ลิตร หลังจากนั้นให้หยิบวัสดุเพาะมา 1 กำมือ โดยหยิบให้ลึกลงไปตามแนวลึก ลองบีบดูให้พอแน่น ถ้ารู้สึกเปียกก็แสดงว่าให้น้ำพอแล้ว หลังจากนั้นก็ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับตอนให้หัวเชื้อแล้วเลี้ยงเส้นใยเห็ด เห็ดก็จะเริ่มสร้างเส้นใยใหม่ แต่จะใช้เวลามากกว่าเดิม 1-2 วัน ส่วนปริมาณเห็ดที่จะเก็บได้ขึ้นอยู่กับความร้อนภายในกองเพาะเป็นหลัก ถ้าหลังจากให้น้ำแล้ว วันรุ่งขึ้นถ้าจับอุณหภูมิภายในกองเพาะได้ไม่ต่ำกว่า 36 องศา คุณจะเก็บเห็ดได้ประมาณ 50-60 % ของการเก็บเห็ดรอบแรก
กล่าวมาจนถึงบัดนี้    ผมหวังว่ารายละเอียดที่ให้คงจะมากเพียงพอให้เกษตรกรรายใหม่ และผู้ที่เพาะเลี้ยงแล้วกำลังประสบปัญหา ได้พอมีความรู้เพิ่มขึ้น 





วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

กระบองสองท่อน

นอกจากเพาะเห็ดฟางแล้วนี่ก็ชอบเหมือนกันครับ "มิได้ฝึกไว้เพื่อชกต่อยกับผู้ใด แต่เพื่อเป็นมิตรสหาย"

วันนี้ขอนอกเรื่องหน่อยนะครับใครที่สนใจสั่งได้นะครับทำให้ฟรี ๆเลย เดี๋ยวจะทำคลิปสอนทยอยลง

ตัดเส้นใยเห็ด

เรื่องการตัดเส้นใยเห็ดครับ
             หลังจากให้หัวเชื้อแล้ว จะเกิดเส้นใยเห็ด ในระยะนี้เชื้อเห็ดฟางต้องการไนโตรเจนเพื่อสร้างเส้นใย และต้องการก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นใยเห็ด ต้องการความชื้นสูงทั้งในโรงเรือนและในกองเพาะ ต้องการอุณหภูมิภายในโรงเรือนระหว่าง 34-38 องศา
ถ้าทุกอย่างถูกต้อง ภายในโรงเรือนจะรู้สึกอุ่น ๆ และมีกลิ่นหอมของเห็ด
        หลังจากเส้นใยเห็ดขึ้นเต็มแล้ว และมีอาการเริ่มยุบตัว ซึ่งจะตกประมาณ 4-6 วัน แล้วแต่ความร้อนภายในกองเพาะ ถ้าความร้อนภายในกองเพาะสูงจะใช้เวลาน้อย เส้นใยเห็ดจะเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีน้ำตาลอ่อน ให้เปิดช่องหน้าต่างโรงเรือนด้านบน และให้เริ่มเป่าอากาศเข้าภายในโรงเรือน พัดลมเป่าอากาศจะต้องให้ตัวใหญ่เข้าว่า ตัวนี้ประหยัดไม่ได้ ราคาประมาณ 3,500 – 4.500 บาท ถ้าซึ้อราคาถูก จะสังเกตได้ว่าพัดลมพอหรือไม่ให้ดูจากผนังโรงเรือน พลาสติกจะต้องพองโปร่งออกมาเพราะแรงลมอันนี้คือพัดลมแรงพอ ถ้าไม่พอเพราะโรงเรือนใหญ่ไป ให้ใช้ 2 ตัว การให้พัดลมที่แรงในเวลาสั้นจะทำให้สูญเสียความชื้นน้อยกว่า การให้พัดลมไม่แรงแต่ใช้ระยะเวลานาน ถ้างบน้อยก็ใช้วิธีเปิดให้อากาศถ่ายเทตอนเช้าและเย็น ประมาณ1 ชั่วโมง (ห้ามเปิดตอนที่มีลมแรงนะครับ)หรือตอนที่อากาศในโรงเรือนร้อนมาก     ในการเลี้ยงเห็ดถ้าเห็ดได้รับลมเฉี่อยเห็ดจะเป็นสีคล่ำขึ้น
เห็ดที่โดนลม
แต่ถ้าลมที่มีแรงอัดเข้าไปจะไม่ทำให้เห็ดเปลี่ยนสี ในระหว่างที่ให้พัดลมเป่าอากาศ ก็ให้ทำการฉีดน้ำเป็นละอองฝอย เป็นฝอยจริง ๆ นะครับ ห้ามเป็นหยดน้ำ หรือฉีดมากจนเป็นหยดน้ำเกาะติดเส้นใย ถ้าเส้นเย็นเห็ดโดนน้ำจะทำให้ไม่จับตัวเป็นดอก วัตถุประสงค์ของการฉีดน้ำตัดเส้นใย ก็เพื่อบังคับให้เห็ดจับดอกพร้อมกันจะได้ไม่ทยอยเกิด จะทำให้ทำงานง่าย ถ้าต้องการทยอยเก็บเห็ดขายก็ไม่ต้องฉีดตัดเส้นใย

หลังฉีดตัดเส้นใยแล้ว เห็ดก็ยังต้องการความชื้นที่สูงมากอยู่ และต้องการก๊าซออกซิเจนมากขึ้น รักษาอุณหภูมิ 28-32 องศา เปิดช่องหน้าต่างด้านล่างโรงเรือน และให้แสงสว่างเท่ากับแสงที่คุณสามารถอ่านหนังสือได้ ประมาณวันละ 3-4 ชั่วโมงก็พอ ถ้าเวลากลางวันแสงพอ ก็ไม่ต้องให้แสงแล้ว ถ้ามีส่วนไหนได้รับแสงสว่างไม่พอ จะทำให้จับดอกน้อยกว่าส่วนที่ได้รับแสง เพราะความสว่างของแสงมีส่วนในการกระตุ้นให้เกิดการจับดอก ส่วนระยะเวลาให้แสงนานหรือไม่นานไม่มีผลทำให้เห็ดจับดอกมากขึ้น
ส่วนระยะเวลาในการเปิดพัดลมเป่าอากาศ ให้สังเกตุจากการที่คุณอยู่ภายในโรงเรือนแล้วจะรู้สึกหายใจสบายหายใจคล่อง คือใช้ได้ หากรู้สึกอึดอัดแสดงว่ามีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเกิดจากการหมักของวัสดุเพาะเห็ดภายในโรงเรือนมากไป ก็ให้เปิดพัดลมเป่าอีก เพื่อเพิ่มออกซิเจนและไล่ก๊าซคาร์บอนได้ออกไซค์ ความถี่หรือห่างในการให้อากาศขึ้นอยู่กับกองเพาะที่แตกต่างกันทั้งจำนวนวันที่หมัก ความหนา ความเป็นกรด แต่ถ้าคุณเป่าลมมาก ๆ จะทำให้กองเพาะแห้ง ดังนั้นถ้าเห็นกองเพาะเริ่มมีความชื้นน้อยลง ให้ทำการให้น้ำโดยฉีดน้ำรดพนังโรงเรือนและพื้นโรงเรือนให้ชุ่ม จะเป็นการช่วยได้ และในการเพาะครั้งหน้าต้องปรับปรุงกองเพาะให้มีความเป็นกรดน้อยลง โดยให้พิจารณาจาก
-ใส่อาหารเสริมมากไป โดยเฉพาะรำ หรือปุ๋ย
-ใส่ปูนขาว (ปูนมาน) น้อยไป
-หมักวัสดูเพาะนานไป
-กลับกองน้อยไป หรือวัสดุเพาะไม่ร่วนพอ
-วัสดุเพาะเปียกไป -กองวัสดุเพาะแน่นไป
อ่านไปอ่านมาการเพาะเห็ดมันเรื่องมากจริง ๆ แต่จริง ๆ แล้ว สำหรับคนที่กำลังประสบปัญหาอยู่จะร้องว่าใช่เลย อันนี้เราไม่รู้ นี่เลยปัญหาของเรา สำหรับผู้ทียังไม่ได้ลงมือทำอ่านแล้วคงไม่อยากทำ เพราะคิดว่ามันเรื่องมากจริงๆ ครับ ในการทำงานทุกเรื่องถ้าทำไปโดยไม่รู้อะไรจะเห็นว่าง่ายและจะทำงานไป เพราะยังไม่เห็นปัญหา ที่เขียนไว้มาก ๆ และพยายามให้ละเอียดเพื่อให้รับรู้ปัญหาไว้ก่อน ตอนทำจะได้ระมัดระวัง ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นก็จะน้อยลง ไม่มีหนทางแห่งความสำเร็จเส้นไหนที่ปูไปด้วยดอกกุหลาบครับ ตัวผมเองยังเสียดายว่าตอนผมทำไม่มีแหล่งข้อมูลเหล่านี้ ความรู้ทุกอย่างต้องศึกษาค้นคว้ามาเอง ด้วยความทุกข์ยากมาก ๆ ครับ ทุกท่านที่มีโอกาสได้อ่านบทความนี้ผมคิดว่า คุณได้เปรียบคนอื่น ๆ อีกหลาย ๆ คน ที่ไม่ได้มีโอกาสรับรู้ เพราะฉะนั้นถ้าได้ข้อมูลจากผมและคิดตามบ้าง ไปอบรมกองเตี้ยและโรงเรือนสักอย่างละครั้ง ไปดูเขาทำโรงเรือนจริงอีกครั้ง กลับมาอ่านทบทวนแล้วค่อยลงมือทำ รับรองได้คุณมีโอกาสสำเร็จมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ครับ
ตอนต่อไปจะพูดเรื่องการดูแลรักษาในระยะเก็บดอกเห็ด การเพาะเห็ดจะกำไรมากหรือมาก ๆ ผมว่าอยู่ตรงนี้แหละครับ
แนะนำพูดคุยกันบ้างนะครับ ไม่อยากพูดคนเดียว

วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

การให้หัวเชื้อ

การให้หัวเชื้อ
หัวเชื้อที่จะใช้ ต้องตรวจดูก่อนว่าไม่มีสีดำ สีเขียว ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นเป็นเชื้อรา ให้ทิ้งไปเลยทั้งถุงอย่าเสียดาย เมื่อตรวจหัวเชื้อเรียบร้อยแล้ว ให้อาบน้ำล้างมือให้สะอาด ทำความสะอาดกระมังที่พอใส่หัวเชื้อ 4 ถุง ให้ฉีกหัวเชื้อเป็นขิ้นเล็กที่สุด อย่าใช้วิธีการขยี้เพราะจะทำให้เส้นใยช้ำ ที่ให้ทำทีละ 3 ถุงเพราะว่าถ้าหัวเชื้อติดเชื้อราอื่นจะได้ไม่กระจายออกไปมาก หลังจากฉีกเสร็จแล้วให้ใช้แป้งข้าวเหนียว ให้แน่ใจว่าสะอาดก็พอ 2 ช้อนโต๊ะ (แป้งเป็นแหล่งคาร์บอนที่มีผลต่อการเจริญเติบโตสูงที่สุด)
ผสมคลุกเคล้าให้ทั่ว นำไปโรยให้ทั่วแปลงเพาะ การโรยให้โรยห่างจากขอบวัสดุเพาะลึกเข้าไป 4 – 5 นิ้วฟุต และกะให้โรยพอดีหมดใน 3 - 4 ตารางเมตร

หลังจากให้หัวเชื้อเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้ E.M. 300 c.c วิตามินบี 1 (Thiamime มีผลเร่งการเจริญของเส้นใย) ซื้อได้ที่ร้านขายยา 1 เม็ด ผสมน้ำ 5 ลิตร น้ำที่ใช้ต้องให้แน่ใจว่าสะอาดไม่มีคลอรีน ถ้าใช้น้ำประปาต้องขังน้ำทิ้งไว้ 5 วัน ให้ดีรองน้ำใส่โอ่งใหญ่ทิ้งไว้เลยเอาไว้ใช้กับเห็ดโดยเฉพาะ เมื่อผสมกันแล้วใช้รดลงแปลงเพาะกะให้หมดใน 5 ตารางเมตร น้ำที่ใช้รดนี้ถ้าโดยหัวเชื้อจะทำให้มันยุบตัวแนบติดกับวัสดุเพาะ และน้ำจะพาเชิ้อเขากองเพาะ ถ้ารดแล้วยังมีส่วนที่ยังไม่ยุบก็ให้เพิ่มน้ำเข้าไปอีก หัวเชื้อที่ไม่ถูกน้ำส่วนใหญ่จะให้เส้นใยน้อยและแห้งเกินไป แต่ต้องระวังให้ดีอย่าให้จนวัสดุเพาะเปียกมากเกินไปจะทำให้เชื้อเดินเข้าไปในวัสดุเพาะได้ไม่ดี
หลังจากให้หัวเชื้อเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้เห็ดสร้างเส้นใยเห็ด จะต้องปิดโรงเรือนให้สนิท เพื่อไม่ให้ไนโตรเจนซึ่งอยู่ในกองเพาะสูญเสียไป (ไนโตรเจนเห็ดจะใช้ในการสร้างเส้นใย) ในระหว่างนี้อุณหภูมิในโรงเรือนจะลดลงไปเรื่อย ๆ ให้รักษาอุณหภูมิในโรงเรือนไว้ที่ 34-38 องศา อย่าให้อุณหภูมิสูงกว่านี้ ถ้าสูงกว่าให้เปิดช่องลงเพื่อลดอุณหภูมิ จนได้ที่แล้วต้องรีบปิด ถ้าทุกอย่างถูกต้อง หลังจากให้หัวเชื้อแล้ว 6 ช.ม. จะเห็นเส้นใยเห็ดเริ่มเดิน ถ้าผ่านไป 12 ช.ม. แล้วยังไม่เห็นเส้นใยเห็ดเดิน หรือเดินน้อย ก็เตรียมใจได้ครับ ต้องมีขั้นตอนใดพลาดไป สาเหตุมีหลายอย่างเช่น
-วัสดุเพาะเป็นกรดสูง อาจจะเนื่องมาจาก หมักนานไป หรือกลับกองวัสดุเพาะน้อยเกินไป
-ฟ่างมีสารตกค้าง เช่น ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าเชื้อรา ตอนแช่ฟางต้องย่ำด้วย หลังจากแช่ไว้ 1 คืนให้สะเด็ดน้ำทิ้งให้แห้งก่อนนำมาใช้
-หัวเชื้อไม่ดี เขาเรียกว่าเชื้อเป็นหมัน
-อุณหภูมิภายในกองเพาะต่ำกว่า 36 องศา อุณหภูมิในกองเพาะนี้ เป็นตัวตัดสินใจว่าจะเก็บเห็ดต่อไปหรือไม่ ถ้าต่ำกว่า 36 องศา เก็บเห็ดเสร็จรอบแล้วก็รื้อทิ้งได้เลยครับ ถึ่งเกิดก็ไม่มากแล้ว ยกเว้นแต่คุณมีโรงเรือนมาก อยากจะเก็บต่อไปขายได้วันละ 100 - 300 บาทต่อวัน ก็ตามใจแต่ถ้านานมากไปจะมีแมลงไรนะครับ
-วัสดุเพาะที่กองบนชั้นต้องกองให้หนาแต่ไม่ใช่แน่น ถ้าแน่นแล้วจะเกิดก๊าซซึ่งเป็นพิษกับเห็ด
-กองเพาะเปียกเกินไป เรื่องแห้งไปไม่เป็นเพราะให้น้ำตอนให้หัวเชื้อ
ตอนต่อไปจะพูดเรื่องการตัดเส้นใยเห็ดครับ ใครที่ทดลองเพาะแล้ว นำมาเล่าให้ฟังกันบ้างนะครับ คนอื่นจะได้รู้ปัญหาด้วย

การอบไอน้ำ

การอบไอน้ำฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ 
                    หลังจากเลี้ยงเชื้อราจนได้ที่แล้ว ให้เริ่มงานในตอนเช้ามืด โดยฉีดน้ำลดวัสดุเพาะให้ชุ่มแต่ไม่ให้ถึงขนาดน้ำไหลหยดลงมาใต้ชั้นเพาะมากนัก เพราะจะทำให้เสียธาตุอาหารไปกับน้ำ อันนี้เป็นเคล็ดลับในการอบไอน้ำ ไม่ค่อยมีผู้อบรมรายใดให้ความรู้ไว้ การให้น้ำจะเป็นการใช้น้ำเป็นสื่อในการนำความร้อนเข้ากองเพาะ ในกรณีที่ความชื้นในกองเพาะไม่พอ และมีการกองวัสดุหนามาก ถ้าไม่ให้น้ำจะอบไอน้ำไม่เข้าถึงข้างในกองเพาะหรือให้เข้าถึงก็จะเสียเวลาในการอบไอน้ำนานมาก ๆ
                    การอบไอน้ำไม่เข้าถึงกองเพาะจะทำให้พอเก็บเห็ดไปเกิน 10 วันจะมีปัญหา เรื่องวัชเห็ดกับแมลงไร อีกอย่างการอบไอน้ำเป็นการไล่ความชื้นส่วนเกินออกจากกองเพาะด้วย ส่วนอุณหภูมิที่จะใช้ในการอบให้ใช้อุณหภูมิสูงสุดของกองเพาะตอนหมักวัสดุเพาะ (สมมุติ 55 องศา) บวกด้วย 10 องศา (เป็น 65 องศา) ในกรณีที่เก็บเห็ดรอบเดียวคือ 5-7 วัน ให้อบนาน ช.ม. (โดยเริ่มจับเวลาตอนจับอุณหภูมิได้สูงถึง 65 องศา และเมื่อทำอุณหภูมิสูงได้แล้วต้องดูแลเชื้อเพลิง อย่าให้อุณหภูมิลดลงระหว่างจับเวลา) หากเก็บเห็ดรอบสองด้วย ประมาณ 10-14 วัน ต้องอบนาน ช.ม. หากเก็บเห็ดนานกว่านั้นให้อบที่ ช.ม. ในกรณีที่ใข้ฝางปูรองวัสดุเพาะ ถ้าอบไอน้ำไม่ถูกต้อง จะเริ่มมีปัญหาเรื่องแมลงไร เมื่อเก็บเห็ดเลย 12 วัน แต่ในกรณีใช้ทลายปาล์ม จะไม่ค่อยมีปัญหา 

                    เรื่องแมลงไรนี้บ้างคนไม่เข้าใจปัญหา ทำให้ต้องเลิกเลี้ยงไปเลยก็มี ในความเห็นของผม ถ้าเริ่มมีไรก็ควรจะรื้อทิ้งได้ แต่บางที่เห็ดมันยังออกมากอยู่ เกิดความเสียดาย ให้ใช้สารคาร์บาริล ชื่อการค้า เซฟวิน85หรือ เอส85 ฉีดพ่นบนแปลง สารนี้ไม่มีพิษในสัตว์เลือดอุ่น แต่เป็นพิษต่อปลา และในตัวเห็ดก็มีสารหุ้มตัวมันเอง ถ้าผู้บริโภคล้างน้ำก่อน ก็แทบไม่มีสารพิษที่ตกค้างในเห็ดเลย และถ้าคุณขยันให้ใช้ตะไคร้ ทั้งรากต้นและใบส่วน กระเพราะใบและดอก ส่วน โดยน้ำหนัก นำมาตำให้ละเอียด แช่ในน้ำ E.M. มักไว้ คืน กรองเอาน้ำที่ได้ ส่วนผสมน้ำ ส่วน นำมาใช้ฉีดพ่น เนื่องจากพืชทั้ง ชนิดมีน้ำมันหอมละเหย ซึ่งแมลงไม่ชอบกลิ่นจะใช้ไล่แมลงได้หลายชนิดครับ โดยให้ฉีดพ่นตั้งแต่เก็บเห็ดได้ วันให้ฉีดทุก 2วัน เพื่อเป็นการกลบกลิ่นพืช อันนี้ถ้าใครแก้ปัญหาไรไม่ได้ ต้องเพิ่มขั้นตอนงานตัวนี้ แต่ควรจะเน้นการอบไอน้ำที่อุณหภูมิสูงขึ้นและระยะเวลาการอบไอน้ำให้ยาวขึ้นมากกว่า การอบไอน้ำที่ถูกต้อง ถ้าอบได้อุณหภูมิสูงพอและเวลาที่เหมาะสม เมื่ออบไอน้ำเสร็จตอนเข้าไปในโรงเรือน เพื่อให้หัวเชื้อจะรู้สึกหอมครับ ถ้าไม่หอมก็แสดงว่ายังอบไอน้ำได้ไม่นานพอหรือที่อุณหภูมิไม่สูงพอ ในครั้งหน้าต้องเพิ่มครับ  
                    การวัดอุณหภูมิในโรงเรือน ให้ใช้ที่วัดแบบที่เป็นหลอดแก้ว ราคาประมาณ 100 บาท เสียบเข้าไปภายในโรงเรือน ให้วัดสูงกว่าพื้น เมตร โดยไม่ไห้ส่วนปลายปรอทสัมผัสถูกผนังโรงเรือน
จากนั้นให้รอจนอุณหภูมิภายในโรงเรือนลดลงเหลือ 38-40 องศาให้ทำการให้หัวเชื้อ อย่าให้หัวเชื้อในระหว่างที่อุณหภูมิภายในโรงเรือนต่ำกว่านี้ เพราะจะทำให้เส้นใยเดินไม่ดี และถ้าให้หัวเชื้อในขณะที่อุณหภูมิในโรงเรือนสูงกว่า 42 องศา ผู้ให้หัวเชื้อก็จะรู้สึกไม่สบายตัว และเชื้อก็อาจจะตายเพราะอุณหภูมิในกองเพาะสูงจะกว่าอุณหภูมิของโรงเรือน 

                    หัวเชื้อต้องพอแก่พอดีใช้ ถ้าใยเดินไม่เต็มถึงก้นถุงจะได้เส้นใยเห็ดน้อย เห็ดที่เกิดจากเส้นใยก็น้อยตาม ถ้าเป็นสีน้ำตาลแล้ว จะได้เส้นใยน้อยแต่เห็ดสามารถเกิดได้เลยจากวัสดุของหัวเชื้อ ไม่ได้เกิดจากการเดินของเส้นใย ทำให้ต้องใช้เป็นปริมาณมากคือ 1.5 ถุง ต่อตารางเมตร ปกติใช้ 0.8-1ถุงต่อตารางเมตร
                  หมดเวลาครับ เอาไว้ตอนหน้าจะพูดต่อเรื่องการให้หัวเชื้อครับ อย่าลืมแนะนำพูดคุยกันบ้างนะครับ ไม่อยากพูดคนเดียว