Translate

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

เศรษฐีผู้รวยด้วยหนูตายตัวเดียว

เศรษฐีผู้รวยด้วยหนูตายตัวเดียว

          เมื่อเกือบสองพันปีมาแล้ว เมืองพาราณสีเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจ คับคั่งไปด้วยผู้คนทุกระดับชั้น ตั้งแต่ยาจกคนเข็ญใจ ผู้ใช้แรงงาน นักคิด และพ่อค้าผู้มั่งคั่ง ในบรรดาพ่อค้าเหล่านั้น มีเรื่องของพ่อค้าผู้หนึ่งที่น่าสนใจมากเพราะเขาได้ใช้ความเฉลียวฉลาดพาตนเองให้พ้นจากความยากจน กระทั่งในที่สุด ได้รับตำแหน่งเศรษฐีแห่งพระนครการจะได้ตำแหน่งเศรษฐีประจำพระนครนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ใครๆ ก็อาจจะเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยได้ แต่การที่จะมั่งคั่ง ขนาดที่ได้รับแต่งตั้งจากพระราชาให้เป็นเศรษฐี จำเป็นต้องรวยอย่างแท้จริง รวยจนพระราชาต้องยอมรับ
          คฤหาสน์ของเศรษฐีผู้นี้กว้างขวางใหญ่โต มีสวนผลไม้ขนาดใหญ่ มีบริวารนับร้อย มีโรงทานที่ให้ทานทุกวันสำหรับผู้ยากไร้ ฯลฯ
          คราวนี้เรามาดูกันว่าเศรษฐีผู้นี้สร้างความมั่งคั่งให้กับตนเองอย่างไร ทั้งๆ ที่ไม่มีทุนแม้แต่น้อยเศรษฐีผู้นี้เดิมชื่อว่าอะไรนั้น ดูเหมือนผู้คนจะลืมไปเสียแล้ว คนทั่วไปเรียกเขาด้วยฉายาว่า “มุสิกเศรษฐี”
          “มุสิกเศรษฐีนี้เป็นกำพร้า พ่อแม่ตายตั้งแต่เด็ก เหลือเพียงตัวคนเดียว สมัยยังหนุ่มเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างทำงานเล็กๆ น้อยๆ ตามแต่จะมีคนจ้าง ยากจนมาก และไม่รู้ว่าจะประกอบการงานใดให้รุ่งเรืองขึ้นมาได้
จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่กำลังเก็บกวาดใบไม้อยู่บริเวณถนนหลวงหน้าบ้านท่าน จุลลกเศรษฐี ท่านเศรษฐีกำลัง
จะไปธุระนอกบ้าน แลเห็นหนูตายตัวหนึ่งอยู่กลางถนน ซึ่งยังไม่มีใครเก็บกวาดไปทิ้ง ท่านเศรษฐีได้กล่าวลอยๆ
ขึ้นมาว่า….
          “คนมีปัญญาย่อมใช้หนูตัวนี้ให้เป็นประโยชน์ เลี้ยงลูกเมียและประกอบการงานได้”
          มุสิกเศรษฐีซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงคนกวาดถนนยืนอยู่ตรงนั้น ย่อมได้ยินคำพูดของเศรษฐี ก็เข้าใจว่าท่านเศรษฐีคงตั้งใจพูดให้ตนเองได้ยิน และคงมองเห็นว่าหนูจะกลายเป็นเงินเป็นทองได้ มุสิกเศรษฐีจึงคิดขึ้นมาว่า
ตนเองเห็นหนูตายมาหลายครั้งแล้ว ก็รอแต่ว่าให้เจ้าพนักงานหรือผู้มีหน้าที่มาเก็บไปทิ้ง เมื่อท่านเศรษฐี
พูดเช่นนั้นท่านคงมองเห็นวิธีทำเงินให้งอกเงยขึ้นมาจากหนูตัวนั้น แม้จะยังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไปเราซึ่งเป็นคนยากจนก็ควรจะเชื่อท่านไว้ก่อน   คิดได้ดังนั้น จึงหาใบไม้สะอาดๆ มาใบหนึ่ง เก็บหนูตัวนั้นวางบนใบไม้แล้วนำไปที่ตลาด ตั้งใจว่าจะลองไปนั่งขายที่ตลาดดู เพราะคิดว่าไม่เสียหายอะไรที่จะเสียเวลาไปตลาด เนื่องจากตนเองก็มีเวลามากมายที่ไม่รู้จะทำอะไรอยู่แล้ว
          ทางเดินไปตลาดต้องผ่านบ้านของพราหมณ์ครอบครัวหนึ่ง พอคนใช้ในบ้านพราหมณ์เห็นคนถือหนูตาย
เดินผ่านมาก็ร้องบอกให้หยุดก่อน แล้วเข้าไปแจ้งนายของตนเอง พราหมณ์ผู้เป็นนายกำลังต้องการหาอาหาร
ให้แมวที่เลี้ยงเอาไว้ แมวชอบหนูอยู่แล้ว อีกทั้งซื้อหนูตายก็ถูกกว่าจะไปหาซื้อเนื้ออย่างอื่นมาเป็นอาหารแมว
หนูตายตัวนั้นจึงขายได้ตั้งแต่ยังไปไม่ถึงตลาด มุสิกเศรษฐีได้เงินมากากณึกหนึ่ง (น้อยมากๆ จนไม่น่าสนใจ)
          คงจะเริ่มสงสัยกันแล้วนะว่าเงินเพียงหนึ่งกากณึกจะทำให้มุสิกเศรษฐีรวยขึ้น มาได้อย่างไร
          เห็นไหมว่าหนูตายตัวหนึ่งที่เคยแต่ต้องเสียเงินจ้างคนมาเก็บไปทิ้ง ยังสามารถสร้างเงินขึ้นมาได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าจากนั้นมุสิกเศรษฐีจะทำอะไรต่อไป เพราะคงไม่สามารถหาหนูตายไปขายได้ทุกวัน หรือถึงจะหาได้ คนซื้อหนูตายก็อาจจะไม่มีทุกวัน มุสิกเศรษฐีได้แต่นึกถึงคำของท่านเศรษฐีจุลลกะที่ว่า
          “คนมีปัญญาย่อมใช้หนูตัวนี้ให้เป็นประโยชน์ เลี้ยงลูกเมียและประกอบการงานได้”
          แต่ขณะนั้นมุสิกเศรษฐียังไม่มีลูกเมีย จึงได้แต่มุ่งว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้เงินที่ได้มาจากหนูตายทำให้ตนเองประกอบการงานได้ หัวใจอยู่ที่ว่าต้องใช้ปัญญาแล้วมุสิกเศรษฐีใช้ปัญญาอย่างไร
          หลังจากที่มุสิกเศรษฐีเที่ยวเก็บหนูตาย และเศษสิ่งของต่างๆ เพื่อนำไปขายในตลาดหาเงินมาเพิ่มเติมนั้น ก็พบว่ากิจการเช่นนี้ไม่ยั่งยืน เพราะของมีวันหมดและยากที่จะเลี้ยงชีพหรือประกอบการงานด้วยการเก็บเศษขยะได้ตลอดไป และแล้ววันหนึ่ง หลังจากเที่ยวเสาะหาเศษสิ่งของที่จะมาเป็นรายได้จนเหนื่อยอ่อน มุสิกเศรษฐีก็นั่งพักเหนื่อยอยู่ที่ใกล้ประตูเมือง พร้อมกับตั้งคำถามกับตัวเองว่า ควรจะทำอย่างไรต่อไป ปัญญาจะมาจากไหนที่จะสร้างเงินให้ตัวเองได้
          วันนั้นเอง มุสิกเศรษฐีก็สังเกตเห็นสิ่งที่ผ่านตาตัวเองไปจนชิน โดยที่ไม่เคยได้สังเกตมาก่อนมุสิกเศรษฐีเริ่มจะ    See the wood from the trees  แบบใน Wink and Grow Rich แล้วล่ะ
          เนื่องจากเมืองพาราณสีนี้มีการบูชาเทพต่างๆ เป็นเรื่องประจำ และราชสำนักก็ใช้ดอกไม้จำนวนมากทุกวัน   ทุกๆ วันจะมีคนเก็บดอกไม้ทูนดอกไม้ที่ไปเก็บมาจากนอกเมือง เดินกลับเข้าเมืองมาอย่างเร่งรีบเพื่อจะนำไปขาย   คนเก็บดอกไม้จำนวนมากเหล่านี้จะต้องออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ก่อนตะวันขึ้น และกลับมาพร้อมดอกไม้ด้วยอาการ  อิดโรยและเหนื่อยล้า เพราะอากาศเริ่มร้อน ความคิดหนึ่งวาบเข้ามาในหัวมุสิกเศรษฐี ทำให้เห็นลู่ทางที่จะ จะทำเงินหนึ่งกากณึกให้เป็นเงินกหาปณะได้ ( 1 กหาปณะ = 20 มาสก = 4 บาท)
          แม้จะไม่มั่นใจนักแต่ก็จะลองดูมุสิกเศรษฐีนำเงินที่มีเพียงเล็กน้อยนั้นไปซื้ออ้อยมา แล้วหาหม้อใบหนึ่งตักน้ำไปตั้งที่ทางเข้าประตูเมือง  ในเวลาสายตอนที่คนเก็บดอกไม้จะกลับมาจากป่า เมื่อคนเก็บดอกไม้เดินผ่านมา ก็เสนอให้ชิ้นอ้อยคนละหน่อยแล้วให้ดื่มน้ำหนึ่งซองมือ คนเก็บดอกไม้แต่ละคนไม่ใช่คนมั่งคั่งที่จะมีเงินซื้อน้ำดื่ม แต่พวกเขาก็  พอใจที่ได้บริการจากมุสิกเศรษฐี เพราะพวกเขาก็หิวน้ำ แต่ละคนก็แบ่งดอกไม้ให้คนละกำมือ เมื่อได้ดอกไม้มาแล้ว มุสิกเศรษฐีก็นำดอกไม้นั้นไปนั่งขายอยู่ที่หน้าเทวาลัยเช่นเดียวกับพ่อค้า ดอกไม้คนอื่น
…………………………………………………………………………………..
          แต่แล้วมุสิกเศรษฐีก็คิดได้ว่า ตนเองคงไม่สามารถยึดเอาการบริการน้ำเพียงแค่นี้เป็นการอาชีพได้
เพราะเมื่อผู้อื่นเห็นตนเองทำแล้ว ใครๆ ก็คงจะทำเป็น
……………………………………………………………………………….
เอ………เมื่อไหร่จะเป็นเศรษฐีเสียทีน้อ…………..
          “คนมีปัญญาเฉลียวฉลาดย่อมตั้งตนได้ด้วยต้นทุนแม้น้อย ดุจคนก่อกองไฟน้อยๆ ให้เป็นกองใหญ่ฉะนั้น
          คิดได้ดังนั้น มุสิกเศรษฐีจึงเปลี่ยนวิธีการ เลิกเป็นพ่อค้าขายดอกไม้ที่ได้รับมาเป็นค่าตอบแทนจากน้ำอ้อย  แต่กลายเป็นพ่อค้าส่งดอกไม้แทน เพื่อไม่ต้องเสียเวลานั่งขายดอกไม้ มุสิกเศรษฐีเริ่มตื่นแต่เช้าตรู่ไม่แพ้คนเก็บดอกไม้ ขณะที่คนเก็บดอกไม้ไปเก็บดอกไม้ มุสิกเศรษฐีก็ไปซื้ออ้อย และแบกน้ำตามไป นำไปบริการจนถึงสวนดอกไม้ ไม่ต้องรอให้ลูกค้ามาหาเหมือนเดิม คนเก็บดอกไม้ไปหาดอกไม้เหมือนเคย แต่พวกเขาเก็บ
ดอกไม้ได้นานขึ้น เพราะมีคนยอมหนักแบกน้ำออกไปบริการ เช่นนี้มุสิกเศรษฐีจึงได้ค่าอ้อยและน้ำเป็นดอกไม้
มากกว่าที่จะได้เมื่อบริการที่ประตูเมือง ขาไปเขาแบกของหนักไปคือน้ำ ขากลับเขาแบกของเบากลับมาคือ

ดอกไม้ แต่ว่าของเบานั้นทำเงินให้เขามากกว่าของหนักที่ไม่มีราคาในตัวของมันเอง แต่ว่าเป็นช่องทางให้
ได้ของเบาคือดอกไม้กลับมา
……………………………………………………………
          เป็นอันว่ามุสิกเศรษฐีไม่ได้เป็นคนเก็บดอกไม้ แต่กลับมีดอกไม้มากกว่าคนเก็บดอกไม้เสียอีก เขาได้สินค้ามาด้วยการแลกเปลี่ยนกับบริการของเขา ถ้าเราเลือกบริการที่ถูกต้อง คือถูกสถานที่และเวลา ถูกความต้องการของผู้ซื้อเราย่อมค้าขายได้กำไร แต่บางคนอาจจะแย้งว่า ถ้าขายของไม่เป็นจะทำอย่างไร
………………………………………………………………….
          ไม่มีใครทำอะไรเป็นตั้งแต่เกิด มุสิกเศรษฐีก็เช่นกัน ไม่เคยขายของ และขายของไม่เป็นจนกระทั่งวันที่เขานำหนูตายไปขาย เขารู้แต่ว่าเขาไม่ได้ต้องการดอกไม้ไปบูชา หรือเอาไปร้อยเล่นเป็นเครื่องประดับ แต่เขาก็ไม่ปฎิเสธที่จะรับดอกไม้มาแทนเงิน เขาต้องใช้ความพยายามอีกส่วนหนึ่งที่จะหาวิธีแปลงสิ่งที่ได้มาให้เป็นสินค้า ให้ได้ ถ้ามันยังเป็นสิ่งของอยู่ในใจเขามันก็ไม่เป็นเงิน เหมือนหนูตาย ถ้ามันยังเป็นสิ่งปฎิกูล มันก็ไม่เป็นเงิน เมื่อเริ่มตั้งในใจว่านั่นเป็นสินค้าเมื่อใด เมื่อนั้นสิ่งนั้นจะนำเงินมาให้
มุสิกเศรษฐีทำการบริการช่างดอกไม้อยู่หลายเดือนรวบรวมเงินได้ 8 กหาปณะ
……………………………………………….
          เดากันได้ไหมครับว่าเหตุการณ์เป็นเช่นไรต่อไปที่ไหนๆ ก็เช่นเดียวกัน พอเห็นคนมีรายได้ ก็ต้องมีคนทำตาม และก็คงมีคนเก็บดอกไม้บางคนเริ่มได้คิดแล้วนำน้ำติดตัวออกไปเอง ก็จะมีดอกไม้เหลือมากขึ้น เพราะไม่ต้องแบ่งให้คนขายน้ำการคิดริเริ่มบางอย่างก็ไปกระตุ้นความคิดให้ผู้อื่นหาทางแก้ปัญหาในทางอื่นๆ ได้ด้วย
…………………………………………………………………………..
          วันหนึ่งโชคก็มาถึงโดยไม่ได้คาดคิด วันนั้นเป็นวันหนึ่งตอนต้นฤดูฝน เกิดมีพายุ ฝนตกหนักและลมแรง
กิ่งไม้แห้ง กิ่งไม้อ่อนและใบไม้ในพระราชอุทยานถูกลมพัดตกลงมาเกลื่อนกลาด และมีกิ่งไม้ใหญ่หักลงมาด้วย
คนเฝ้าสวนไม่รู้จะทำอย่างไรที่จะนำกิ่งไม้เหล่านั้นไปทิ้งให้ได้ในเวลารวด เร็ว เขาเป็นกังวลมากว่าจะจัดการ
อย่างไร พระราชอุทยานจึงจะเรียบร้อยเพื่อรอรับเสด็จ มุสิกเศรษฐีผ่านไปพบพอดี จึงถามคนเฝ้าสวนว่า
          “เหตุใดท่านจึงมายืนอยู่ริมถนน มีท่าทางเป็นกังวลเช่นนี้ เราสิน่าจะกังวลเพราะฝนตกแต่เช้าตรู่ คนเก็บดอกไม้ไม่ได้ออกไปทำงาน เราจะไม่มีรายได้คนเฝ้าสวนจึงเล่าให้ฟังว่ามีกิ่งไม้ตกลงมาในอุทยานเป็นจำนวนมากและเขาคิดไม่ตกว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรดี
…………………………….
          ธรรมดาแล้ว สิ่งใดที่มีคนต้องการ สิ่งนั้นจะมีค่า ถ้าเราต้องการฟืน เราก็ต้องซื้อหามาด้วยเงินทอง แต่ถ้าเราไม่ต้องการเศษไม้ เศษไม้ก็ไม่มีค่า อาจจะต้องจ่ายค่าจ้างให้คนกำจัดไป ดังเช่นที่คนเฝ้าสวนกำลังประสบอยู่
ดังนั้นในเวลานั้น แรงงานมีค่า แต่ฟืนไม่มีราคาสำหรับเขา เพราะเป็นสิ่งที่เขาต้องการกำจัดไป ถ้ามุสิกเศรษฐี
ไปถามซื้อฟืนจากคนเฝ้าสวน แน่นอนว่าเขาจะเริ่มเล่นตัวและโก่งราคา หรืออาจจะขายไม่ได้ เพราะไม้อยู่
ในเขตอุทยาน แต่ถ้ารอให้เขาจ้าง มุสิกเศรษฐีก็คงไม่ได้ค่าแรง เพราะรู้อยู่ว่าคนเฝ้าสวนไม่มีเงินจะจ่ายเป็นค่าจ้าง
……………………………….
          หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว มุสิกเศรษฐีคิดว่ามีทางได้เงินและได้บุญคุณไปด้วยพร้อมกัน จึงรับอาสาคนเฝ้าสวนว่าจะนำกิ่งไม้เหล่านี้ออกไปให้โดยไม่คิดค่าจ้าง แต่ขอว่าของที่เก็บเหล่านี้ต้องเป็นของเขา คนเฝ้าสวนก็รับคำว่าเอาไปเถอะ พร้อมกับท่าทางโล่งใจมากที่มีผู้มาช่วย
          มุสิกเศรษฐีจึงเดินไปหากลุ่มเด็กรุ่นๆ ที่มักเล่นกันอยู่ประจำที่สนามเด็กเล่นท้ายพระราชวัง พร้อมกับชักชวนว่า
          “ไปช่วยเราตัดกิ่งไม้กันเถอะ เรามีน้ำและอ้อยเป็นรางวัล แล้วยังได้ไปเที่ยวเล่นในอุทยาน อันเป็นสถานที่ต้องห้ามด้วยนะ
          เด็กเหล่านั้นนึกสนุกต่างก็แย่งกันขันอาสาที่จะไปช่วยกันเก็บกิ่งไม้ เห็นมั๊ยครับว่านี่เกิดจากปัญญาของมุสิกเศรษฐีโดยแท้ ที่ทำให้งานอันต้องใช้เงินจ้าง กลายเป็นของสนุกที่มีเด็กขันอาสามาช่วยกันทำด้วยกุศโลบายของมุสิกเศรษฐี ไม่นานนัก กิ่งไม้ทั้งน้อยและใหญ่ก็ถูกขนมากองไว้ที่หน้าประตูพระราชอุทยาน
…………………………..
          ขณะที่กำลังคิดว่าจะไปหาพาหนะใดมาช่วยขนไม้ฟืนไปขาย หรือว่าควรจะไปบอกขายของแล้วนำผู้ซื้อมารับไปเองดีกว่ากัน ก็พอดีมีช่างหม้อหลวงเดินมา เขากำลังเที่ยวหาฟืนอยู่เพื่อเผาภาชนะดินของหลวง
          เมื่อเห็นมุสิกเศรษฐียืนอยู่กับฟืนกองโตเช่นนั้น จึงถามขอซื้อทันที วันนั้นมุสิกเศรษฐีได้ทรัพย์ 16 กหาปณะ และภาชนะฝีมือประณีต 5 อย่างที่ช่างหลวงสัญญาว่าจะจ่ายเป็นค่าที่เขาไม่ต้องเสียเวลาไปหาฟืน
……………………………..
          เป็นอันว่ามุสิกเศรษฐีได้เงินจากพระราชาด้วยไม้ของพระราชานั่นเองมุสิกเศรษฐีนั้นคิดว่าเมื่อมีเงินแล้วก็ต้องรู้จักใช้เงิน และการใช้เงินทางหนึ่งก็คือแบ่งปันให้กับผู้อื่นบ้าง  แม้เมื่อยังมีเงินน้อยอยู่ ก็สามารถทำได้ มุสิกเศรษฐีคิดว่าตนเองเคยกระหายน้ำมาก่อน และหาน้ำดื่มไม่ได้ เวลาที่กระหาย จึงเริ่มตั้งตุ่มน้ำไว้บริการคนหาบหญ้า 500 คนด้วยน้ำดื่ม แม้เงินที่ได้จากช่างหม้อจะไม่มากมายนัก แต่การให้น้ำก็ไม่ได้ต้องการเงินมากมายอะไร เพียงแต่คอยดูแลให้มีน้ำอยู่เสมอทุกวัน
……………………………..
          คนหาบหญ้าก็รู้สึกขอบใจมุสิกเศรษฐี และหวังตอบแทนน้ำใจเขา แต่เขาไม่ได้หวังอะไรตอบแทน
เขาเพียงแต่บอกคนหาบหญ้าว่า เมื่อใดต้องการความช่วยเหลือแล้วจะบอก เขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงจะต้องการความช่วยเหลือ แต่ก็เป็นความรู้สึกที่ดีสำหรับคนไร้ญาติมิตรอย่างเขา ที่จะมีมิตรอยู่ทั่วไปโดยอาศัยความเอื้อเฟื้อเป็นผู้นำทาง
………………………
          ต่อมาเมื่อมุสิกเศรษฐีมีเวลาและมีเงินมากขึ้น และเห็นว่าสิ่งที่ตนให้นั้นเป็นประโยชน์ เขาก็ได้ตั้งตุ่มน้ำไว้ให้คนเรือด้วย คือตั้งไว้ในทางที่คนเรือต้องสัญจรผ่าน เขาจึงสามารปลูกไมตรีไปทั่วด้วยประการดังนี้
…………………………………
          แล้ววันหนึ่งก็เป็นวันที่ไมตรีผลิผลโดยที่มุสิกเศรษฐีไม่ได้เรียกร้อง วันนั้นคนทำหญ้าคุยกันว่าวันรุ่งขึ้นจักมีพ่อค้าพาม้ามา 500 ตัว และคนทำหญ้าก็เล่าให้มุสิกเศรษฐีฟังด้วย เป็นไมตรีที่ผู้หยิบยื่นก็ไม่รู้ว่า กำลังยื่นทองคำมาให้เขา เพราะพวกเขาคุยกันเฉยๆ และก็คุยให้มุสิกเศรษฐีฟังมุสิกเศรษฐีจึงว่าแน่ะท่าน ท่านเคยถามว่าข้าพเจ้าต้องการอะไรตอบแทนที่ข้าพเจ้านำน้ำมาเลี้ยงพวกท่านทุกวัน ข้าพเจ้าจะขอท่านล่ะ พรุ่งนี้ข้าพเจ้าขอหญ้าจากท่านคนละกำ และถ้าข้าพเจ้ายังไม่ได้ขายหญ้า ขอท่านอย่าขายจะได้หรือไม่คนทำหญ้าต่างก็รับปากกันอย่างแข็งขัน พากันกล่าวว่า ขอเพียงแค่นี้ทำไมจะไม่ได้
……………………………..
          วันรุ่งขึ้น คนหาบหญ้าก็ให้หญ้าแก่มุสิกเศรษฐีคนละกำ 500 คนก็ 500 กำ นำมาไว้ให้ถึงประตูบ้านเลยทีเดียว ตกบ่ายวันนั้น พ่อค้าก็เดินทางมาถึงพาราณสี แต่ก็ต้องประหลาดใจมากที่หาซื้อหญ้าไม่ได้ แม้จะตระเวนไปทั่วพระนครแล้วก็ตาม คนทำหญ้าไม่รู้หายไปไหนหมดเขาเห็นหญ้ากองอยู่หน้าบ้านมุสิกเศรษฐี จึงมาอ้อนวอนขอซื้อ จะราคาเท่าใดก็ได้ เพราะม้าต้องกินหญ้า จะปล่อยให้ม้าอดอยากผอมโซก็คงขายไม่ได้ราคา และเขายังต้องอยู่ในเมืองอีกหลายวัน
          มุสิกเศรษฐีจึงขายหญ้าให้พ่อค้าแต่เพียงผู้เดียวในวันนั้น วันต่อๆ มา คนทำหญ้าก็เป็นผู้ขายหญ้าตามปกติ มุสิกเศรษฐีขอให้พวกเขาขายทีหลัง พวกเขาก็ไม่ได้เดือดร้อนเพราะการที่ม้าเข้ามาในเมืองเป็นจำนวนมาก เป็นเรื่องของความต้องการที่เกินกว่าปกติและเกินต่อมาอีกหลายวัน ต่างคนต่างก็ได้เงินจากการขายหญ้าจำนวนมากด้วยกันทั้งหมด
…………………………………….
          แต่มุสิกเศรษฐีได้ทรัพย์มาจากการขายหญ้าเพียงวันเดียวนั้นถึง 1,000 กหาปณะจากหญ้าจากปกติที่ไม่เคยมีราคาค่างวดเท่าใด กลับขายได้ถึงกำละ 2 กหาปณะเพราะของที่หายาก ย่อมมีราคาเสมอ
………………………………….
          หลังจากที่หาเงินได้ถึง 1,000 กหาปณะแล้ว มุสิกเศรษฐีจึงหาลู่ทางทำมาหากินอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เขาตั้งร้านค้าเล็กๆ และเก็บเงินส่วนหนึ่งเป็นทรัพย์สินเงินทองของมีค่า แต่จุดหักเหในชีวิตของเขายังมีอีก
………………………….
          วันหนึ่ง มีเรือสินค้าเข้ามา เรือลำนี้เป็นเรือใหญ่มาจากแดนใต้ ในเวลานั้นคนกำลังรอสินค้าหลายอย่าง ด้วยเพิ่งพ้นฤดูมรสุม เรือลำนี้บรรทุกสินค้าหลายชนิดซึ่งเป็นที่ต้องการ คนที่ทำงานทางน้ำได้รับรับข่าวส่งต่อๆ กันมาและเล่าให้มุสิกเศรษฐีฟัง เขาจึงเห็นลู่ทางที่จะทำเงินได้จากการรู้ข่าวล่วงหน้าก่อนคนอื่น มุสิกเศรษฐีใช้เงิน 8 กหาปณะเช่ารถคันหนึ่งออกไปยังท่าเรือพร้อมบริวารก่อนเรือจะเทียบท่าเสียอีก ก่อนที่พ่อค้าคนอื่นจะได้ข่าวหรือเตรียมตัวทัน เขาแต่งกายและตระเตรียมเครื่องใช้อันจำเป็น เพื่อให้มีมาดของผู้มียศ แล้วตั้งวงม่านกั้นแดดกั้นลมเพื่อสร้างอาณาบริเวณที่จะกันมิให้ผู้อื่นเข้าถึงตัวเขาได้ง่ายอันเป็นวิสัยของผู้มียศ และเป็นวิธีสร้างโอกาสในการต่อรองราคาสินค้า
……………………………………
          มุสิกเศรษฐีได้พบกับนายเรือที่เดินทางล่วงหน้ามาด้วยเรือลำเล็กเข้ามาก่อนและสอบถามเรื่องสินค้าที่บรรทุกมา พร้อมทั้งต่อรองราคาจนเป็นที่พอใจทั้งสองฝ่าย แล้วจึงมอบแหวนวงหนึ่งเป็นค่ามัดจำสินค้า
……………………
          หลังจากเจรจาการค้าเรียบร้อยแล้ว มุสิกเศรษฐีก็พำนักรอในวงม่านและสั่งบริวารว่า ถ้ามีใครมาขอพบให้อิดออดอยู่ 3 ครั้งก่อนพวกพ่อค้า 100 คนในเมืองพาราณสี เมื่อได้ทราบว่าเรือเข้าเทียบท่าจึงพากันออกไปเลือกซื้อสินค้า แต่ต่างก็ต้องผิดหวัง เพราะนายเรือแจ้งว่าได้ตกลงขายสินค้าทั้งลำเรือให้แก่พ่อค้าคนที่พำนักอยู่ในวงม่านนั้นหมดแล้วพวกพ่อค้าทั้งหลายต่างก็ทราบดีว่าสินค้าในเรือนั้นเป็นสินค้าคุณภาพดีเป็นที่ต้องการของชาวเมือง แม้แต่พระราชาก็ยังต้องการ พวกเขาจำเป็นต้องมีสินค้าขาย จึงพากันมาพบมุสิกเศรษฐี เพื่อขอซื้อสินค้า
………………………
          บริวารของมุสิกเศรษฐีก็ทำตามคำสั่ง คือประวิงเวลาไว้ จนพ่อค้าแต่ละรายกระวนกระวายร้อนใจ จึงเปิดทางให้พบ พวกพ่อค้าเหล่านั้นสรุปการตกลงทางการค้าได้ว่า พวกเขายินดีเข้าหุ้นกับมุสิกเศรษฐี ทำให้มุสิกเศรษฐีได้เงินมา 100,000 กหาปณะ เพื่อให้พวกพ่อค้าเป็นหุ้นส่วนในสินค้าทั้งลำเรือ
……………………………………………….
          เมื่อพวกพ่อค้าคิดกันต่อไปว่า จะจัดแบ่งสินค้ากันอย่างไรระหว่างมุสิกเศรษฐีกับพวกพ่อค้า เพราะเมื่อแบ่งสินค้ากันแล้ว มุสิกเศรษฐีก็จะเป็นผู้ที่มีสินค้าในมือมากที่สุด คือถึงกึ่งหนึ่งของที่พวกพ่อค้ามีพวกพ่อค้าจึงได้ข้อเสนอใหม่ว่า พ่อค้าแต่ละคนต่างก็ตกลงจ่ายเงินให้มุสิกเศรษฐีอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อให้เขาปล่อยหุ้น พ่อค้าแต่ละคนก็จะได้เหมาสินค้าส่วนที่ตนต้องการไปเป็นของร้านค้าตนทั้งหมดเท่ากับว่ามุสิกเศรษฐีได้ทรัพย์จากการขายสินค้าครั้งนี้ 200,000 กหาปณะจากแหวนเพียงหนึ่งวงที่ใช้มัดจำค่าสินค้า เหลือเชื่อไหมครับ…..
………………………………
          มุสิกเศรษฐีได้ทรัพย์ครั้งนี้มาด้วยปัญญาโดยแท้เขาได้ข่าวสารก่อนผู้อื่น………. แล้วข่าวสารนี้เขาได้มาอย่างไร…….ได้มาจากความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้คนทั่วไป ผู้ที่ให้ข่าวสารก็ไม่ได้ตั้งใจอยู่ที่ปัญญาของผู้รับฟังที่จะถอดรหัสข่าวสารออกมาเป็นวิธีการที่จะสร้าง กำไร
………………………
          อาจมีผู้สงสัยว่า เหตุใดมุสิกเศรษฐีไม่เป็นผู้ขายสินค้านั้นเองบ้างแทนที่จะขายให้พ่อค้าอื่นไปจนหมด ก็จะได้กำไรเพิ่มขึ้นอีกสิ่งที่มุสิกเศรษฐีคิดก็คือ เขาต้องรู้จักประมาณตนเอง และรู้ว่าเมื่อใดควรจะจบเรื่อง เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ ในชีวิต เขารู้ว่าต้องมีเงินบ้างจึงจะเจรจาจนกระทั่งทำให้นายเรือเชื่อถือและรับมัดจำไว้ แต่เขาก็ไม่ได้มีเงินมากมายพอที่จะซื้อสินค้ามาไว้ในมือจำนวนมากได้ เขาเพียงแต่กะเก็งความต้องการของพ่อค้าอื่นๆ และฉวยโอกาสเท่าที่โอกาสเปิดให้เท่านั้น อีกประการหนึ่ง เขาไม่ต้องการแข่งขันกับพ่อค้าอื่นๆที่เขาขายสินค้านั้นๆ อยู่แล้ว จะเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็นตราบเท่าที่เขายังมีปัญญา เขาต้องหาทางก่อร่างสร้างตัวด้วยกิจการอื่นที่ได้ประโยชน์ต่อผู้อื่น และไม่เบียดเบียนผู้ที่ทำกิจการอยู่แล้ว
…………………
          มุสิกเศรษฐีได้เงินมา 200,000 กหาปณะ ซึ่งมากมายล้นเหลือในชีวิตของเขา ถ้าเป็นเรา เราจะนำเงินนั้นไปทำอะไร ลองคิดกันดูนะครับ
……………………….
          นี่เป็นวิธีใช้เงินของมุสิกเศรษฐีเมื่อเขาได้เงินมานั้น ก็มาคิดได้ว่าที่เขามีทรัพย์ได้ถึงเพียงนี้ก็เพราะท่านจุลลกะ เป็นผู้ชี้เรื่องหนูตาย ทำให้เขาได้ความคิดเขาควรมีกตัญญู เขาจึงไปขอพบท่านจุลลกเศรษฐี แล้วแบ่งทรัพย์ให้ท่ากึ่งหนึ่งในชั้นต้น ท่านเศรษฐีสงสัยว่า เขาแบ่งทรัพย์ให้ท่านทำไมเขาจึงเล่าเรื่องนับแต่ได้หนูตายให้ฟัง ท่านเศรษฐีได้รับฟังแล้วจึงพอใจในความมีกตัญญูและรู้จักหาทรัพย์ของเขา จึงได้ยกธิดาให้เป็นภริยาของเขา
ทั้งสองสามีภรรยาก็ได้ทำงานมีกิจการของตนเอง เมื่อจุลลกเศรษฐีถึงแก่กรรมพระราชาจึงแต่งตั้งให้มุสิกเศรษฐีเป็นเศรษฐีแห่งพาราณสีสืบมา
---------------------------------------------------------------------------------------
          แล้ววันนี้แหละ คุณเห็นช่องทางแล้วหรือยังผมเห็นแล้ว จาก Angtylove2 แห่งนี้นี่แหละปล. แง่คิดที่ผมได้นะคับ

1. คนเราอาจจะไม่สำเร็จกับการทำธุรกิจอย่างแรกเสมอไป ถ้าเราล้มก็ลุกขึ้นต่อคับ
2. ทำให้คนอื่นชอบเราเค้าไว้ถึงแม้วันนี้เรายังไม่ต้องการความ ช่วยเหลือก็ตาม
3. สิ่งที่กั้นระหว่างคนที่สำเร็จกับคนที่ล้มเหลวอยู่ ที่การกระทำคับ เพราะคนที่สำเร็จเค้ากล้าที่จะลองผิดลองถูก
ล้มแล้วกล้าที่จะสู้ใหม่ ส่วนคนที่ล้มเหลว อาจเพราะได้แต่คิดว่าจะทำ แต่ไม่ลงมือทำ หรืออาจทำไปแล้วพลาด
และไม่กล้าลุกมาใหม่จึงกลายเป็นคนที่ล้มเหลวอยู่จนถึงทุกวันนี้..
4. คุณไม่ได้ล้มเหลว 1000 ครั้ง แต่คุณค้นพบสิ่งที่ไม่สำเร็จ 1000 อย่างเท่านั้นเอง (จะสุขจะทุกข์มันอยู่ที่มุมมอง)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น